ความเป็นแม่มักถูกยกย่องด้วยภาพของการดูแลเอาใจใส่และความรักอันอ่อนโยน แต่ในหลายวัฒนธรรม เช่น ฮินดู พระแม่อุมาเทวีก็ปรากฏในปางอื่นที่ดุร้ายกว่าอย่างทุรคาและกาลี บ่งบอกว่าประสบการณ์อันลึกซึ้งของความเป็นแม่ยังมีอีกด้านที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง การเสียสละ ความดุดัน และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการปกป้องและเลี้ยงดูลูก
วันแม่ปีนี้ TK Park พาคุณไปสำรวจนวนิยาย 6 เล่มดังที่เจาะลึกถึงด้านมืดและแข็งแกร่งของความเป็นแม่ เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแม่ที่ต้องต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกและเผชิญกับภาระหนักหน่วง คนประสงค์ร้าย รวมถึงอุปสรรคนานา ตั้งแต่การต่อสู้กับบรรทัดฐานทางสังคม ไปจนถึงการเอาชนะหัวใจตัวเอง ดังนั้น มาลองมองตัวอย่างของความเป็นแม่ในรูปแบบที่ทรงพลังนี้ เพื่อให้เราสะท้อนมุมมองในชีวิตจริงผ่านหนังสือเหล่านี้ที่ TK Park ไปด้วยกัน
ปาจิงโกะ โดย อีมินจิน (Pachinko by Min Jin Lee) [TH/EN]
สำหรับหนังสือเล่มนี้ อีมินจินพาเราย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซุนจา หญิงแกร่งชาวเกาหลีที่กำลังจะกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจากความรักแรกที่ไม่สมหวัง เธอจึงตัดสินใจสร้างครอบครัวใหม่และยอมอพยพมาเป็นคนชายขอบในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อคว้าโอกาสสู่ชีวิตที่ดีขึ้นให้กับลูกชายของเธอ ตลอดชีวิตของซุนจา เธอได้พบกับความท้าทายทั้งจากการใช้แรงงานอย่างหนัก และภาระทางจิตใจที่ไม่เคยได้รับการเยียวยาเนื่องจากความลับเรื่องพ่อที่แท้จริงของโนอา ลูกชายคนแรกของเธอ จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในที่สุด แต่จนวาระสุดท้าย เธอก็ยังได้ใช้ความเข้มแข็งของเธอประคับประคองชีวิตของคนในครอบครัวไปจนรุ่นหลาน ขนานไปกับธุรกิจพนันปาจิงโกะของลูกชาย ที่อาจเปรียบเปรยได้กับโชคชะตาที่ดูจะเล่นตลกกับซันจาอยู่ซ้ำ ๆ ตลอดเรื่อง
หนังสือเล่มนี้ได้รับการสร้างเป็นซีรีส์ทาง Apple TV แล้ว 2 ซีซั่น โดยออกอากาศเมื่อปี 2022 และ 2024
วันที่แม่ไม่อยู่ โดย ชินกยองซุก (Please Look After Mom by Kyung-sook Shin) [TH]
วรรณกรรมยอดฮิตจากนักเขียนหญิงชาวเกาหลีใต้คนแรกที่เอาชนะรางวัล Man Asian Literary Prize มาได้เมื่อปี 2011 เรื่องราวเริ่มที่สถานีรถไฟโซลในวันเสาร์หนึ่ง พักโซ-นยอ วัย 69 ปี ได้หายตัวไปท่ามกลางฝูงชน ทำให้บรรดาลูก ๆ ได้ฉุกคิดว่าพวกเขารู้จักแม่ของตัวเองน้อยมาก เพราะแม่ยังมีเรื่องราวซับซ้อนในชีวิต และความฝันที่ไม่เคยมีใครรับรู้
การหายตัวไปของแม่ยังทำให้ลูก ๆ แต่ละคนได้รำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่โซ-นยอเคยถูกสามีทิ้งไปมีหญิงอื่นแต่ก็ต้องอดทนเลี้ยงลูกต่อไปด้วยตัวเอง ความลับเรื่องอาการป่วยของตัวเอง รวมถึงคำสัญญาของลูกชายที่จะกลับมาดูแลแม่อย่างดีเมื่อร่ำรวยขึ้น แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่เคยได้ทำตามสัญญา หนังสือเล่มนี้จึงคล้ายจะชวนให้เราย้อนทบทวนความสัมพันธ์กับแม่ และหันไปมองแม่ในฐานะบุคคลที่มีชีวิตจิตใจ ความหวัง และความฝัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
บีเลิฟด์ โดย โทนี มอร์ริสัน (Beloved by Toni Morrison) [TH]
ผลงานวรรณกรรมจากเค้าโครงเรี่องจริง ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ปี 1987 เขียนโดยโทนี มอร์ริสัน เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม เมื่อปี 1993 เนื้อเรื่องตามรอยชีวิตของ เซเธอ แม่และอดีตทาสผิวดำ และเดนเวอร์ผู้เป็นลูกสาว ที่บ้านสีเทาขาวในรัฐโอไฮโอ เมื่อปี 1873 ที่เซเธอเชื่อว่ามีวิญญาณหญิงสาวสิงสถิตอยู่
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อพอล ดี เพื่อนร่วมชะตากรรมที่พลัดพรากกันนานกว่า 20 ปี กลับมาหาเธอ ความทรงจำอันเจ็บปวดของเซเธอที่เคยถูกกลบไว้ก็กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ต่อมา หญิงสาวชื่อ บีเลิฟด์ ปรากฏตัวขึ้นที่ใกล้บ้าน พร้อมข้อบ่งชี้หลายอย่างที่ทำให้เซเธอเชื่อว่าบีเลิฟด์ถูกสิงโดยวิญญาณของลูกสาวไม่ปรากฏชื่อ ที่เซเธอจำเป็นต้องสังหารระหว่างการเดินทางหลบหนีอันน่าสะพรึงกลัวให้พ้นจากอดีตนายทาส ความรู้สึกผิดและต้องชดเชยต่อความผิดครั้งนั้น ทำให้เซเธอดำดิ่งสู่ห้วงเหตุการณ์น่าเศร้าสร้อย จนทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ขมเป็นน้ำตาล หวานเป็นน้ำตา โดย เลารา เอสกิเวล (Like Water for Chocolate by Laura Esquivel) [TH]
หนังสือเล่มนี้ใช้ฉากครัวเรือนและสูตรอาหารของครอบครัวเม็กซิกันในช่วงรอยต่อสู่ศตวรรษที่ 20 เอสกิเวลใช้กลวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ และพาเราตรงเข้าสู่เนื้อหาโดยไม่มีคำอุทิศ คำนำ หรือแม้แต่บทนำ ทั้ง 12 บทเริ่มต้นด้วยชื่อเดือน ชื่อเมนูอาหาร ตารางส่วนผสม และเริ่มเล่าเรื่องที่ส่วนวิธีทำ เช่น บทที่หนึ่ง เล่าถึงวิธีการหั่นหัวหอมที่เป็นเหตุให้คนเราต้องเสียน้ำตา แล้วกล่าวล่วงเลยไปเล่าถึงชะตาชีวิตของติตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาตั้งแต่แรกเกิด ต่อด้วยเหตุการณ์เศร้าสลดและความเคร่งครัดจากเอเลนาผู้เป็นแม่ ตลอดเส้นทางการเติบโตของติตา
ความเคร่งครัดดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชีวิตรักของติตา เธอถูกกีดกันจากชายคนรักและต้องพบกับอุปสรรคมากมายที่ทำให้การทำอาหารของเธอเป็นทั้งการแสดงความห่วงใยอันซับซ้อน การโหยหาความรัก และการแสดงออกทางอารมณ์
หนังสือเล่มนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 1992
จอมโจรขโมยหนังสือ โดย มาร์กัส ซูซัก (The Book Thief by Markus Zusak) [TH]
ในยุคสมัยที่ความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สองแผ่ปกคลุมเยอรมนี ผู้เล่าเรื่องราวนี้คือ Death หรือความตาย ตัวละครหลักของเรื่อง ลีเซล เมมิงเกอร์ คือเด็กสาววัยสิบขวบที่ได้รับความอบอุ่นจากฮานส์ และโรซา ฮูเบอร์มาน พ่อแม่บุญธรรมผู้แข็งกระด้าง แต่แฝงไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ทั้งสองสอนลีเซลให้รักการอ่าน และใช้หนังสือเป็นที่หลบภัยจากความโหดร้ายของโลกภายนอก โดยลีเซลเริ่มขโมยหนังสือจากหลุมศพและกองเพลิงที่ชาวเมืองนำมาเผาในงานฉลองวันเกิดของฮิตเลอร์
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่บุญธรรมกับลูกบุญธรรมในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความรักที่สามารถฟื้นฟูจิตใจและสร้างความหวังในช่วงเวลาแห่งความเกลียดชังระหว่างมนุษย์ด้วยกันซึ่งยากลำบากที่สุด ลีเซล เมมิงเกอร์ ได้เติบโตเป็นผู้อ่อนโยน เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ และรักการเขียนเพื่อส่งต่อพลังแห่งความหวัง แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
หนังสือเล่มนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2013
ล่า โดย ทมยันตี [TH]
เรื่องราวการตามล่าล้างแค้นของมธุสร แม่ผู้มีอดีตเป็นหญิงสาวที่ชีวิตเพียบพร้อม แต่เมื่อชีวิตคู่พังลง เธอในฐานะแม่จึงต้องเลี้ยงลูกโดยลำพังในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของเธอพังทลายลง หลังจากเหตุการณ์ที่เธอและลูกสาวถูกกลุ่มอาชญากรข่มขืน จนทำให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช แต่ผู้กระทำผิดกลับไม่ได้รับโทษที่สาสมเพราะอิทธิพลนอกกฎหมาย ด้วยความเป็นแม่ มธุสรจึงแปลงโฉมด้วยเทคนิคการแต่งหน้าเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ แล้วออกไปไล่ล่าศัตรูของเธอทีละคนด้วยวิธีการอันโหดร้ายที่เธอเชื่อว่าคือความยุติธรรม เพราะสำหรับเธอ “ความพยาบาทเป็นของหวาน”
หนังสือเล่มนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี พ.ศ. 2520 และละครเมื่อปี พ.ศ. 2537 และ 2560
TK Park คาดหวังว่า วรรณกรรมทรงคุณค่าเหล่านี้จะเป็นตัวแทนสำคัญที่แสดงถึงมิติหลากหลายของความเป็นแม่ และหวังให้นักอ่านทุกคนได้ทบทวนถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสายสัมพันธ์เช่นนี้ไว้ ไม่ว่าจะในฐานะแม่หรือลูก และเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้กันและกันภายในครอบครัว