แสงแดดของเดือนมิถุนายนไม่ได้นำพาแค่ความร้อนของฤดูร้อนตอนปลายมาสู่ทุกคนเท่านั้น แต่ยังพาสายรุ้งแห่งความรักพาดผ่านไปยังหัวใจของคนทั่วโลก เพราะความรักปราศจากเพศหรือขอบเขตใดๆ ในเดือนมิถุนายนของทุกปีผู้คนจึงได้ออกมาเฉลิมฉลองให้กับความภาคภูมิใจของกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือที่รู้จักกันในนาม Pride Month
ผู้คนทั่วโลกทั้งผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และผู้สนับสนุนในความหลากหลาย ต่างก็ออกมาขับเคลื่อนและแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ด้วยวิธีการต่างๆ TK Park เองก็ขอเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนและเฉลิมฉลองให้กับวาระพิเศษนี้เช่นกัน ด้วยการแนะนำ 10 หนังสือแนว LGBTQ+ ที่ทุกคนควรได้อ่าน จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
1. The Song of Achilles โดย Madeline Miller
ความหลากหลายทางเพศไม่ได้เพิ่งมาถูกกล่าวถึงในยุคสมัยแห่งปัจจุบัน เพียงแต่มีหนังสือไม่กี่เล่มที่ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ The Song of Achilles คือหนังสือนิยายที่ท้าทายทุกความเชื่อ ด้วยการหยิบยกเอาเรื่องราวของเทพปกรนัมกรีกจากบทประพันธ์ขึ้นหิ้งอย่าง ‘มหากาพย์อีเลียด’ ของ โฮเมอร์ มารังสรรค์เป็นนิยายที่ว่าด้วยความรักระหว่างบุรุษสองคนนั่นก็คือ อคิลลีส ผู้พิชิตกรุงทรอย กับ พาโทรคลุส เจ้าชายผู้ตกอับ
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่โดดเด่นในแง่ที่เลือกจะหยิบจับเรื่องราวความรักในเพศเดียวมาถ่ายทอดเท่านั้น แต่ยังทรงคุณค่าในแง่วรรณกรรมเนื่องจากตัวผู้เขียนเองที่เป็นทั้งอาจารย์ และนักเขียนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษาละตินและกรีก ใครที่ชื่นชอบงานแนววรรณกรรมคลาสสิคควรมีเก็บไว้ในลิสต์
2. They Both Die at the End โดย Adam Silvera
คุณจะทำอย่างไรหากรู้ว่าวันตายของตัวเองคือวันไหนในชีวิต? They Both Die at the End คือหนังสือที่เรารู้ตอนจบก่อนเรื่องราวระหว่างทางเมื่อหนังสือขึ้นต้นด้วยกำหนดวันตายของสองตัวละครหลัก ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพาเราไปสำรวจหลายแง่มุมของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่คนหนึ่งเป็น LGBTQ+ ขณะที่อีกคนเป็นชายแท้มาตลอดชีวิต แต่ยังรวมไปถึงการสำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
Adam Silvera ผู้เขียนเรื่องนี้ได้เซ็ตโลกใหม่ขึ้นมาอย่างชาญฉลาด โดยการสร้างบริษัทที่มีบริการโทรแจ้งเตือนวันตายของคนขึ้นมา รวมถึงสร้างแอปพลิเคชันที่ชักนำให้คนซึ่งมีวันสุดท้ายของชีวิตวันเดียวกันได้มาพบ และใช้เวลาร่วมกันก่อนต้องจากโลกนี้ไป การดำเนินเรื่องของตัวละครทั้งสอง บทสนทนา รวมถึงบทสรุปของเรื่องนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนได้ฉุกคิดและตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ของคนเรา
3. We Are Okay โดย Nina LaCour
เรามักจะพร่ำบอกตัวเองว่าเรานั้นตอนนี้นั้นกำลัง ‘โอเค’ แต่ในใจลึกๆ แล้วเรากำลังโอเคจริงหรือเปล่า? หลังจากสูญเสียคุณตาซึ่งเป็นห่วงโซ่สุดท้ายที่เหลืออยู่ มารินก็เลือกจะทิ้งอดีตและชีวิตเบื้องหลังทั้งหมด มุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลบฝังอดีตทั้งหมดรวมถึงความเสียใจ และคนรู้จักที่เคยอยู่ในชีวิต ปล่อยเรื่องราวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายให้กลายเป็นปริศนาที่อยู่ท่ามกลางหมอกควัน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ เมเบล เพื่อนสาวคนสนิทได้เดินที่มาหาเธอที่หอพัก แล้วใช้ช่วงเวลา 3 วันที่อยู่ด้วยกันในการโน้มน้าวให้เธอไปอยู่ด้วย We Are Okay ทำได้ดีในแง่การขยี้ให้เห็นถึงอารมณ์ของความเหงา โดดเดี่ยว สูญเสีย เจ็บปวด และโกรธแค้นของตัวละคร โดยสอดแทรกเรื่องราวของ LGBTQ+ เอาไว้ได้อย่างกลมกลืนและมีชั้นเชิง จนกระทั่งถึงบทสรุปที่ทำให้เราได้เข้าใจว่า We Are Okay… Until We’re Not
4. Call Me by Your Name โดย André Aciman
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นกับชื่อนี้พอสมควร เพราะนี่คือหนังสือเรื่องดังที่ถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์จนกลายเป็นกระแสร้อนแรงในปี 20217 สำหรับใครที่ดูภาพยนตร์แล้ว หากได้ลองมาอ่านในเวอร์ชันหนังสือดูก็จะยิ่งเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
Call Me by Your Name เล่าถึงความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว ความสุข ความเศร้า ความปรารถนา และความขัดเขินของ เอลิโอและโอลิเวอร์ สองหนุ่มแปลกหน้าที่ต้องมาใช้ชีวิตภายใต้ชายคาเดียวกัน ฤดูร้อนปีนั้นในชนบทของอิตาลีจึงถือกำเนิดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรัก ความโศกเศร้า แต่ก็สวยงามไปพร้อมๆ กัน สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังสือแนว Coming of Age อยู่ล่ะก็ขอแนะนำเรื่องนี้เอาไว้เป็นหนึ่งในลิสต์
5. A Little Life โดย Hanya Yanagihara
หากคุณยังไม่พร้อมสำหรับการถูกโบยตีจากตัวอักษร หนังสือที่มีความหนามากกว่าเจ็ดร้อยหน้าอย่าง A Little Life เล่มนี้อาจยังไม่เหมาะสำหรับคุณ ที่ว่าโบยตีไม่ได้หมายถึงความน่าเบื่อหรือยืดยาวของเนื้อเรื่อง แต่กลับเป็นชะตาชีวิตของตัวละครที่น่าจะทำให้คุณรู้สึกสับสน โกรธเกรี้ยว หดหู่ และสงสาร ผสมปนเปตั้งแต่หน้าแรกจวบจนหน้าสุดท้ายของเรื่อง
A Little Life เล่าเรื่องราวถึงกลุ่มเพื่อชายสี่คนที่หลังจากสำเร็จการศึกษาก็ได้ตกลงใจมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มหานครนิวยอร์กด้วยกัน แม้เบื้องหน้าความสัมพันธ์ของทุกคนจะดูอบอุ่นและกลมเกลียว แต่เบื้องหลังต่างคนต่างก็ซุกซ่อนบาดแผลที่สาหัสจนชวนให้หลั่งน้ำตาเอาไว้ โดยเฉพาะจู๊ด ชายหนุ่มผู้เปราะบางและแตกสลายจากเรื่องราวในอดีต จนอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นหนังสือแนว LGBT+ ที่สั่นสะเทือนความรู้สึกทางอารมณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว
6. The Seven Husbands of Evelyn Hugo โดย Taylor Jenkins Reid
ตอนที่เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเชื่อว่าหลายคนคงร้องอุทานในใจและจินตนาการไปถึงเนื้อหาชวนสงสัยภายในเล่ม แต่ในความเป็นจริงแล้ว The Seven Husbands of Evelyn Hugo นับเป็นหนังสือนิยายซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงที่มีชั้นเชิงและเยี่ยมยอดมากๆ เรื่องหนึ่ง
ตัวหนังสือเล่าถึง อีฟลิน อูโก ดาราฮอลลีวู้ดสาวสูงวัยที่ติดต่อนักข่าวสาวคนหนึ่งให้มาเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของเธอ เรื่องราวจะค่อยๆ เล่าย้อนกลับไปถึงชีวิตแต่ละช่วงวัยและการดิ้นรนเอาตัวรอดจนสามารถพาตัวเองมาถึงจุดนี้ ที่น่าสนใจก็คือแม้จะผ่านการแต่งงานถึงเจ็ดรอบ แต่รสนิยมทางเพศของอีฟลินที่แท้จริงแล้วกลับสวนทางกับขนบของสังคมในสมัยนั้น หากใครกำลังมองหาหนังสือที่สามารถบอกเล่าถึงความเป็นมนุษย์ไปพร้อมๆ กับชั้นเชิงการเขียนที่ได้รับเสียงรีวิวในเชิงบวกอย่างถล่มทลายล่ะก็ห้ามพลาดเล่มนี้โดยเด็ดขาด
7. Honey Girl โดย Morgan Rogers
หลังจากเพิ่งสำเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตปริญญาเอกสาขาวิชาด้านดาราศาสตร์หมาดๆ เกรซ พอร์เตอร์ ในวัย 28 ปีก็มุ่งหน้าสู่ลาสเวกัสเพื่อฉลองอย่างสุดเหวี่ยงกับกลุ่มเพื่อสาว แต่ใครจะไปคิดว่านักเรียนเกรดเออย่างเธอที่ประพฤติตัวอยู่ในร่องในรอยมาตลอด จะตื่นมาพบกับความจริงว่าในระหว่างค่ำคืนที่เมาจนแทบจำความไม่ได้ เธอได้แต่งงานกับหญิงสาวอีกคนไปเรียบร้อยแล้ว
Honey Girl เป็นนิยาย LGBTQ+ แนวโรแมนติกชวนอบอุ่นหัวใจที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของหญิงสาวสองคน โดยที่คนหนึ่งได้ถูกเติมเต็มด้วยความรักหลังจากต้องใช้ชีวิตกับความสำเร็จอันว่างเปล่ามาตลอดยี่สิบกว่าปี ไปลุ้นเอาใจช่วยให้ความรักครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี พร้อมๆ กับเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก และความสุขไปพร้อมๆ กันได้ใน Honey Girl
8. Red, White and Royal blue โดย Casey McQuiston
ข้ามฝั่งมายังหนังสือแนวโรแมนติกคอมเมดี้กันบ้างกับนิยาย LGBTQ+ ที่มีเซ็ตติ้งสุดอลังการงานสร้าง ที่โด่งดังจนได้รางวัล Goodreads Choice Awards ปี 2019 หมวดนิยายโรมานซ์ไปครอง โดยเรื่องราวเล่าถึงความสัมพันธ์ของ อเล็กซ์ แคลร์มอนต์-ดิแอซ ลูกชายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับเจ้าชายเฮนรี่แห่งอังกฤษ
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เริ่มต้นด้วยการเป็นคู่กัด จนกระทั่งอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้ชักนำให้ทั้งคู่ได้มาใช้เวลาร่วมกันจนกระทั่งความสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนไปเป็นคู่รัก ความสนุกของหนังสือเรื่องนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่การลุ้นเอาใจช่วยไปกับความรักของคนทั้งคู่ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดา แต่ยังรวมไปถึงความสนุกของเซ็ตติ้งที่ยืนอยู่บนเส้นของการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่ง Casey McQuiston ผู้เขียนทำตรงนี้ออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
9. Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe โดย Benjamin Alire
เหนือทะเลทราย ใต้ดวงดาว กับคำพูดที่ว่า "สักวันฉันจะค้นพบความลับของจักรวาลให้หมดเลย" ได้เกี่ยวพันสองชีวิต อริสโตเติล และ ดันเต้ เอาไว้ด้วยกันอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ในวันนั้น ที่สระว่ายน้ำแห่งนั้น อริส เด็กหนุ่มขี้โมโหที่มองโลกเป็นสีดำมาตลอดชีวิต ได้พบกับแสงสว่างที่สาดเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างดันเต้กันเล่า
Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe หนังสือชื่อยาวเป็นพิเศษเรื่องนี้คือหนึ่งในหนังสือแนว Coming of Age ที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้อ่าน นอกจากความสนุกที่ตัวหนังสือค่อยๆ พาเราไปสำรวจความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกทีละเล็กละน้อยของเด็กทั้งคู่แล้ว ยังทำให้เราได้เรียนรู้ในประเด็นเกี่ยวกับครอบครัวและความเป็นวัยรุ่นไปพร้อมๆ กันด้วย ก็ช่วยไม่ได้อีกเช่นกันถ้าคุณจะตกหลุมรักเด็กทั้งคู่หลังจากอ่านเรื่องนี้จบ
10. What If It's Us โดย Becky Albertalli และ Adam Silvera
ปิดท้ายกันด้วยหนังสือที่เป็นการจับมือของสองนักเขียนสุดป๊อปแห่งยุค Becky Albertalli เจ้าของผลงาน Simon VS. The Homo Sapiens Agenda และ Adam Silvera จาก They Both Die at the End ที่เราได้เล่าถึงไปแล้ว ก่อนอื่นต้องขอเล่าถึงจุดแข็งของหนังสือเล่มนี้ก่อนว่า What If It's Us เป็นนิยายที่เล่าถึงเรื่องราวของตัวละครที่เป็น LGBT+ โดยไม่ได้ใช้เรื่องเพศเป็นแก่นเรื่อง แต่คนเขียนพยายามสร้างให้ตัวละครในนิยายเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เหมือนเป็นนิยายรักรอมคอมระหว่างตัวละครสองตัวเท่านั้น
เรื่องราวเล่าถึงการพบกันโดยบังเอิญของ อาเธอร์ และ เบน เด็กหนุ่มสองคนที่เกิดปิ๊งกันแต่กลับไม่ได้แลกช่องทางการติดต่อไว้ ทั้งคู่จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาอีกฝ่ายให้เจอ และเมื่อเจอกันแล้วต่างก็พยายามประคองรักษาความรักครั้งนี้ให้ตลอดรอดฝั่ง What If It's Us อาจจะไม่ใช่นิยายรักที่หวือหวา การดำเนินเรื่องบางช่วงอาจอืดเอื่อยด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครชอบหนังสือที่ชวนให้ใจฟูและมอบพลังบวกแบบไม่มียั้ง น่าจะชอบเล่มนี้แน่นอน
หนังสือทั้ง 10 เล่มนี้ ผู้ที่สนใจเปิดโลกการอ่าน ติดตามอ่านได้ที่ Libby, by Overdrive ซึ่งทาง TK Park เปิดบริการให้ทุกคนได้อ่าน เพียงสมัครสมาชิกบนแอปพลิเคชัน MyTK หรือ บนเว็บไซต์ www.tkpark.or.th สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก TK อยู่แล้ว สามารถอ่านได้ทันทีเพียงแค่ล็อกอินด้วย Username และ Password และใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน Libby, by Overdrive ดาวน์โหลดได้ทาง App Store หรือ Play Store