“ความหวังยังอยู่ ความฝันยังอยู่ พลังยังอยู่ เส้นทางยังมี ช่างมัน เรายังทำได้อยู่” ท่อนฮุกสบายอารมณ์อิ่มความหวังนี้เป็นส่วนหนึ่งของเพลง ชั่งหัวมัน โดย วงภูมิจิต วงดนตรีที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่เพลงที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับชีวิตของเราเสมอ เพลงใหม่ของภูมิจิต ซึ่งมีชื่อเดียวกับ โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำรินั้น เป็นหนึ่ง ในงานศิลปะจากโครงการ Heart Work ของนิตยสาร happening ที่ศิลปินร่วมสมัย ต่างสร้างผลงานรวม 70 ชิ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวการทรงงานของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร่วมกันสำรวจที่มาของแรงบันดาลใจและใจที่บันดาลแรงของเพลงเพลงนี้ และ พูดคุยสัพเพเหระว่าด้วยเรื่องราวในชีวิตของนักร้องนำประจำวง พุฒิ - พุฒิยศ ผลชีวิน ที่จะทำให้รู้จักความนึกคิดของภูมิจิตมากขึ้น
Q. ทำไมถึงสนใจนำโครงการชั่งหัวมันมาแต่งเป็นเพลง
ตอนแรกเราเขียนเพลงไว้เพลงหนึ่ง แต่เราเขียนว่าท่าน เป็นเหมือนแรงบันดาลใจที่ทำให้ใจบันดาลแรง ด้วยความที่ โปรเจกต์ท่านมีเยอะมาก มุมมองให้เรียนรู้มีเยอะมาก พอเรา พยายามศึกษาประวัติท่าน ศึกษางาน เรารู้สึกว่ามีเรื่องให้ เขียนเต็มไปหมดเลย แล้วพอเราเขียนมากระจัดกระจายมาก มันก็ไม่โฟกัส ทีนี้พอมีโครงการ Heart Work พี่วิภว์ (วิภว์ บูรพาเดชะ บรรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening) ก็แนะนำว่าไปโฟกัสที่สักโปรเจกต์หนึ่งไหม เราก็เลยนึกถึง โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ เพราะว่าโครงการชื่อเท่ ครับ (หัวเราะ) เท่านั้นจริงๆ ครับ เราก็เลยคิดว่า ทำไม โครงการชื่อเท่ขนาดนี้ ก็เลยเลือกโฟกัสศึกษาโครงการนี้ดู แล้วดูเหมือนจะเหมาะด้วย
Q. ตีความโครงการออกมาเป็นเพลงได้อย่างไร
ตอนที่เราเขียนเพลง เราอยากให้มันเป็นเพลงในหลวง ขณะเดียวกันเราก็อยากให้เพลงนี้เป็นของทุกๆ คนด้วย มันก็เลยอาจจะต่างจากเพลงในหลวงเพลงอื่นๆ หน่อย เพราะว่าเพลงของคนอื่นจะเหมือนเป็นเพลงที่อุทิศให้ในหลวง แต่เรารู้สึกว่าของเรา เราอยากอุทิศให้ท่านโดยการให้เรื่องนี้ ไปอยู่ในใจของทุกๆ คน คือให้ทุกคนฟังแล้วย้อนกลับไป นึกถึงชีวิตตัวเองได้ด้วย เราก็เลยเลือกที่จะเขียนออกมา ในรูปแบบนี้
Q. เห็นว่าไปลงพื้นที่ของโครงการมาด้วย ได้เก็บวัตถุดิบ อะไรจากการไปแหล่งข้อมูลจริงบ้าง
ตอนแรกเราพยายามจะเขียนเพลงโดยการอ่านรีวิวท่องเที่ยว ใน pantip (หัวเราะ) คือเราก็ไปเสิร์ชโครงการพระราชดำริ ชั่งหัวมัน แล้วก็เจอคนเขียนรีวิวเยอะมาก แต่เรารู้สึกว่าเรา ยังจับเมนไอเดียบางอย่างไม่ได้ เราก็เลยคิดว่า ลองขับรถไป ดูหน่อยละกัน เผื่อจะได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาใช้ในการเขียน เราก็ใช้เวลาค่อยๆ ดู ค่อยๆ อ่านที่มาของโครงการ หลายคน ก็คงทราบว่ามีคนมาถวายมันเทศให้ท่าน พอเราไปในพื้นที่ เราก็เห็นหลายๆ อย่าง คือท่านเป็นคนที่ขับเคลื่อนโปรเจกต์ เร็ว เก่ง และมีประโยชน์ โปรเจกต์ของท่านบันดาลใจมาก เต็มไปด้วยความเป็นนักสู้ จริงๆ คนอาจจะพูดถึงเยอะนะ แต่ มันเป็นสิ่งที่เพิ่งจะเข้ามาในจิตใจเราจริงๆ ความเป็นสุภาพบุรุษ นักสู้ของท่าน หนึ่งคือท่าน process งานตลอดเวลา แล้ว ไม่ยอมแพ้ ทรงทำจนกว่าจะชนะให้ได้ เป็นลูกผู้ชายนักสู้มาก จากดินที่ปลูกอะไรไม่ได้เลย ท่านก็ทรงพัฒนาจนปลูกได้ จนถ้าตอนนี้ไป ข้าวก็ปลูกได้ วัวก็เลี้ยงได้ หญ้าก็มีกิน ขนาด ยางพารายังมีเลย มีโรงงานนมวัวด้วย เราพยายามนึกภาพว่า ที่ตรงนี้เป็นที่แล้งๆ ไม่มีใครใส่ใจ ท่านใช้เวลา 5 ปี ในการ พัฒนาดิน หลังจาก 5 ปีนั้นก็ค่อยๆ ทำทีละนิดๆ จนเป็น โครงการที่ใหญ่มาก จากโปรเจกต์เล็กๆ ตรงนั้นทำให้เกิดอะไร ได้ขนาดนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก
Q. ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นเพลงที่ยังพูดถึงชีวิตในสไตล์ ภูมิจิต จริงๆ แล้วภูมิจิตนิยามวงตัวเองไว้อย่างไร
เราชอบเรียกตัวเองว่าวงที่ทำเพลงป็อปนะ เราใช้คอร์ดง่ายๆ ถ้าไม่ติดภาพว่าเราเป็นวงอินดี้มากๆ แบบทุกคนฟังเข้าใจได้ เราว่าเพลงของวงเราป็อปมากๆ แต่ดีเทลของเนื้อหาอาจจะ ต่างกันหน่อย เพราะว่าเราอาจจะเริ่มมีอายุมาก คือคนอายุ ประมาณเรา ถ้าไม่ดังไปแล้ว เขาก็อาจจะเลิกทำดนตรีไปแล้ว เรายังเป็นคนอายุที่ค่อนข้างสูง แต่ยังไม่ได้ดังมากๆ เราก็เลย อาจจะเล่าเรื่องที่เราอยากเล่าจริงๆ ได้เท่านั้นเอง
Q. แต่สมัยภูมิจิตยุคแรกๆ ก็เป็นอีกแบบหรือเปล่า
เราว่าอัลบั้มที่ดีควรจะจดบันทึกความคิดในช่วงเวลานั้นได้ สำหรับ Found and Lost อัลบั้มแรก คือช่วงสมัยที่เราเป็น วัยรุ่นเลือดร้อน อยากตะโกนบอกโลกว่า ทำไมไม่ทำอย่างนี้วะ มันคือความจริงนะ แต่ว่าพอกลับมาอัลบั้ม Bangkok Fever เราก็โอเค เราอาจจะเปลี่ยนท่าทีขึ้นว่า บางทีการตะโกนบอกโลก อาจจะไม่ได้สำคัญเท่าการเปลี่ยนจากภายในของตัวเอง ส่วน อัลบั้มต่อไป รวมถึงเพลง ชั่งหัวมัน ด้วย มันอาจจะบอกย้ำว่า เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มองโลกในอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างจากเด็กในสมัย อัลบั้มก่อน ซึ่งเราคิดว่ามันดีนะ เพราะลองนึกดูสิ สมมติว่า ในงานศพเรา ทุกคนที่ได้ฟังเพลงจากทุกอัลบั้มจนถึงอัลบั้ม สุดท้ายก่อนเราเสียชีวิต เขาจะรู้ว่าเราเติบโตมายังไง ช่วงเวลา หนึ่งเราคิดยังไง แล้วในช่วงเวลาหนึ่ง ไอ้คนอย่างนี้ มันเติบโต มาเป็นคนแบบนี้ได้ด้วยนะ ถ้าได้เรียนรู้อะไรที่ดีพอ เราไม่ได้ คิดว่ามันเป็นเพลงอย่างเดียว แต่มันคือการรวบรวมชุดความรู้ ชุดหนึ่ง แล้วเราก็ส่งมอบให้คนถัดไปผ่านเสียงเพลง
Q.ทำไมเพลงในอัลบั้มหลังๆ ถึงฟังดูมีความหวังมากขึ้น
เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นน่ะ ตอนนี้หน้าที่การงานเราเป็นวิศวกร เรา มีลูกน้อง แล้วเราเจอเรื่องปวดหัวทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ คือเราสิ้นหวังไม่ได้ งานไม่เสร็จ หน้าที่ของเราคือทำมันให้ได้ ถ้าเราที่อยู่ระดับสูงกว่าแล้วเราไม่สามารถคอนโทรลตัวเองได้ ก็จะมีปัญหากับทีม ซึ่งเราต้องควบคุมตัวเองมากพอสมควร เป็นหนึ่งในสกิลใหม่ที่เราเพิ่งเรียนรู้ในช่วง 2-3 ปีมานี้
Q. มีเหตุการณ์ไหนที่รู้สึกว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตไหม
ตอนที่บวชเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต เป็นเหตุการณ์ ประหลาดมาก ก่อนหน้านั้นคือเราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตอนนั้นวันรับปริญญา ระหว่างนั่งรอเราก็ค่อยๆ ทบทวนชีวิต ตัวเองทั้งหมดเลยว่าอะไรทำให้เรามานั่งตรงนี้ แล้วชีวิตเรา จะไปทางไหนต่อ เรารู้สึกสับสนมาก หลังจากรับปริญญาเสร็จ เราก็ถามตัวเองทุกวันเลย ถามตัวเองจนทำงานไม่ได้ อยู่มา วันหนึ่งเราก็เลยขอลางานนั่งรถไปวัดบวรฯ แล้วก็นั่งสมาธิ แล้วอยู่ๆ ข้างในตัวเองก็บอกว่า “พุฒิยศ เธอบวชหรือยัง” เรา ก็เลยโทรไปลาออกจากงานแล้วก็ไปบวช แม่ก็ตกใจ ที่ทำงาน ก็ตกใจ (หัวเราะ) มีแต่คนตกใจ เราก็ไปบวชที่วัดบวรฯ บวช ได้ 2 สัปดาห์ เราก็ไปอยู่ที่วัดป่านาคำน้อย ของหลวงพ่อ อินทร์ถวาย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินตัวเองจริงๆ ฉันมื้อเดียว มีอะไร ก็เดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่ที่กุฏิ กุฏิก็อยู่ในป่าลึก มองก็ไม่เห็น ไฟก็ไม่มี มีเทียนเล่มเดียว ดึกๆ ก็มีตุ๊กแกร้องตลอดทั้งคืน ต้องสู้กับตุ๊กแกหนักมาก เป็นคนกลัวตุ๊กแก มีเหตุการณ์หนึ่งคือเราลองงดฉัน 3 วัน แล้วเรารู้สึกว่า เป็นการต่อสู้กับตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ต่อสู้กับความหิวด้วย ต่อสู้ กับความเดียวดายในป่า การไม่คุยกับใครเลย คือพอเราไม่คุย กับใครเลย เราจะได้ยินเสียงตัวเองชัดมาก แล้วพอไม่คุยกับใคร สักพักหนึ่ง เราก็จะได้ยินเสียงที่ชัดกว่านั้น คือไอ้เรื่องที่เรา คิดซ้ำๆ วนเวียนอยู่ เราก็เลยเริ่มรู้ว่า เหมือนกับเราปลูกอะไร ในใจอยู่นี่หว่า แล้วพอช่วงงดฉันคืนที่สอง เป็นครั้งแรกที่เรา รู้สึกหิวเหมือนไส้ขาดแล้วจะตาย คือเราจะตายอยู่ที่กุฏิคนเดียว ตอนสองทุ่ม แล้วอยู่ๆ เราก็น็อก หลับไป เออ แล้วเช้าก็ตื่น ขึ้นมา แล้วจำความรู้สึกก่อนน็อกไปได้ว่ามันเจ็บปวดมาก นึกว่า จะตายอยู่แล้ว แล้วก็ตื่นขึ้นมา อ้าว ยังไม่ตายนี่หว่า ยังรอด ก็เลยเหมือนเข้าใจว่าชีวิตตัวเองมีความหมายมากจากการ เฉียดตายครั้งนั้นมั้ง ก็เลยรักการมีชีวิตของตัวเอง คือเมื่อก่อน ถ้าฟัง Found and Lost จะพบว่าเราเป็นคนขี้หงุดหงิด แล้วก็ ไม่ค่อยรักตัวเอง แต่พอหลังจากเหตุการณ์นั้น เรารักตัวเอง มากขึ้น อาจจะเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่เปลี่ยนชีวิตเราไป จำได้ว่า ตอนไปขอหลวงพ่ออินทร์ถวายบอกว่า ของดฉันได้ไหม ท่าน โยนช็อกโกแลตบาร์มาให้ 4 แท่ง บอกว่า “เอ้า เอาตัวให้รอด จากการอยู่คนเดียวในป่าแล้วกัน” ต้องขอบคุณช็อกโกแลตบาร์ ที่ช่วยชีวิตตอนนั้นไว้ด้วย
Q. 15 ปีที่ผ่านมา สมาชิกในวงภูมิจิตเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
ตอนนี้ทุกคนก็มีลูกกันหมดแล้ว ยกเว้นเรานี่ล่ะ มันก็ตามอายุ กานต์ (เกษม จรรยาวรวงศ์) มือกีตาร์ ก่อนหน้าจะมีลูกมันกินเหล้า เมาหยำเปมาก แต่พอมีลูกปุ๊บมันกลายเป็นผู้ชายคุณพ่อน่ารัก ขึ้นมาเลย ขณะเดียวกัน บอมบ์ (ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล) มือเบส พอมีลูกแล้วก็รู้สึกว่าชีวิตมันไม่เคว้งคว้าง ตอนนี้ลูกอยู่ต่างจังหวัด แล้วบอมบ์ก็อยู่กรุงเทพฯ เวลาที่มันเหงา ไม่รู้จะคุยกับใคร มัน รู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่ มันก็จะไลน์ไปคุยกับลูก ขณะเดียวกัน แม็ก (อาสนัย อาตม์สกุล) มือกลอง ลูกเพิ่ง 2 เดือนเอง กำลังเห่อลูกมาก แล้วลูกก็น่ารักมาก ตอนเราแต่งเพลง ชั่งหัวมัน ดราฟต์สุดท้าย เราก็ไปนั่งแต่งที่บ้านแม็ก คนที่ได้ฟังเพลงนี้ดราฟต์สุดท้ายมีสามคน คือแม็ก เรา แล้วก็ลูกสาวของแม็ก น้องวันฟ้าใส ก็ต้องขอบคุณ น้องวันฟ้าใสด้วยที่ฟังดราฟต์สุดท้ายของเราแล้วไม่ร้องไห้ แสดงว่า เพลงผ่าน (หัวเราะ)
เรื่อง: วิชัย สว่างพงศ์เกษม / ภาพ: วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย
ติดตามอ่าน Read Me Vol 40: ต้นไม้ของพ่อ ต้นไม้ของเรา ที่จะพาทุกคนไปสำรวจผลจากต้นไม้ของพ่อที่แตกเมล็ดเติบโตขึ้นในหัวใจของชาวไทยเป็นแรงบันดาลใจให้เราสืบสานปณิธานของพ่อต่อไป อ่านฉบับเต็มได้ที่ http://readme.tkpark.or.th