'เรื่องสมมุติ' ในโลกการเรียนรู้ เรื่องจริงในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง
28 สิงหาคม 2560
52
หากมองเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านแต่ละยุคสมัยของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาจากการค้นพบแนวความคิดใหม่และมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคาม โลกทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ต่างกันแค่มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในเชิงกระบวนการ จากยุคหินเป็นยุคสำริดและยุคเหล็ก แต่เกิดจากภาวะแหล่งสารสนเทศท่วมท้นล้นเกิน องค์กรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลคือองค์กรซึ่งมีการประมวลผลสารสนเทศจากระดับบนที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อความต้องการที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง สารสนเทศใหม่ๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจคือแหล่งที่มาอันสำคัญต่อการเรียนรู้ ซึ่งผลักดันให้เกิดการประกอบการสร้างสรรค์และนวัตกรรม
สวิตช์ 3D คือช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุค 2D สู่ยุค 3D (ลิขสิทธิ์ภาพของ Jef Staes)
จากรูป จะเห็นได้ว่ายุคแห่งความปั่นป่วนของสารสนเทศดังเช่นปัจจุบัน คือช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากยุค 2D ไปสู่ยุค 3D[1] การเรียนรู้ในห้องเรียนแบบเดิมๆ ไม่อาจพัฒนาคนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงจากยุค 2D เป็น 3D ได้ เพราะในยุค 3D นั้นความสามารถพิเศษที่เกิดจากความปรารถนาหลงใหลอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะผลิตสารสนเทศใหม่ๆ และถูกนำไปใช้เพื่อสร้างนวัตกรรม แต่อุปสรรคสำคัญในการเข้าสู่ยุค 3D คือกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งครู 2D ผู้บริหาร 2D ได้สร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนไปปิดกั้นความหลงใหลและความสามารถพิเศษของผู้เรียนเอาไว้
ห้วงเวลาวิกฤติหรือช่วงปั่นป่วน เรียกว่า สวิตช์ 3D (ดังรูป) นั่นคือช่วงที่เรากำลังเคลื่อนจากยุค 2D ไปสู่ยุค 3D ในยุค 2D นั้นการเรียนรู้จะเป็นแนวราบหรือแบน มักเกิดขึ้นในห้องเรียน ความรู้สามารถคาดการณ์ได้และมาจากการกระตุ้นซ้ำอย่างคงที่ โดยมีจุดหมายเพียงเพื่อการใช้งานสิ่งซึ่งมีอยู่เดิม ความรู้จากหนังสือจึงเป็นกุญแจของกระบวนการเรียนรู้แบบนี้
แต่นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ เรากำลังเคลื่อนที่ไปเร็วขึ้นๆ ในทิศทางสู่ 3D จะเห็นได้ว่าสิ่งซึ่งมนุษย์มองว่ามีความจำเป็นในปัจจุบันได้กลับตาลปัตรไปจากยุคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เราจึงต้องปรับตัวและเคลื่อนระบบการเรียนรู้แบบยุค 2D ไปเป็น 3D โดยเร็ว
“คนขี้อาย” ผลผลิตของการเรียนรู้ที่ใช้หนังสือเป็นฐาน
สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือได้ปิดกั้นความสามารถพิเศษและความชื่นชอบหลงใหล (passion) ในบางสิ่งที่เด็กๆ อาจมีอยู่ในตัวให้กลบหายไป คล้ายกับลมที่พัดเป่าเปลวเทียนให้ดับวูบลง ความลุ่มหลงที่เป็นความสามารถพิเศษบางประการของเด็กๆ ที่หายไปนี่เองคือผลลัพธ์ที่ไม่ตั้งใจ (unintended consequences) ของระบบการศึกษาซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของการเรียนผ่านหนังสือและสิ่งพิมพ์กระดาษ
ความปรารถนาหลงใหล (passion) ความสามารถพิเศษ (talent) และสารสนเทศ (information) คือสิ่งสำคัญพื้นฐาน 3 ประการของพฤติกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ‘Smart’ การเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้ ตรงกันข้ามกับ ‘Smart’ คือ ‘sheep’[2] (แกะ, คนขี้อาย) เป็นสภาวะขาดความปรารถนาหลงใหลในสิ่งใหม่ ความสามารถพิเศษไม่ถูกนำออกมาใช้ และสารสนเทศจำนวนมหาศาลดูไร้ค่า สำหรับพวก sheep แล้ว สารสนเทศมักจะมีมากมายเกินไปเสมอ พวก sheep จะจมอยู่กับกองสารสนเทศที่ท่วมท้นเพราะไม่รู้ว่าจะว่ายไปในทิศทางไหน
ระบบการศึกษา 2D มีหนังสือตำราเรียนวางอยู่เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ครู บทบาทของครู 2D ถูกจำกัดให้ส่งผ่านสิ่งซึ่งอยู่ในหนังสือ แม้แต่ความรู้ก็ถูกวางเค้าโครงเอาไว้แล้วในคู่มือและเอกสารการสอน นอกจากนั้นรัฐบาลยังกำหนดกรอบแนวทางและหลักสูตรเอาไว้อย่างละเอียดเพื่อจะได้มั่นใจว่าความรู้ที่ถูกต้องจะถูกส่งต่อไปยังผู้เรียน การเรียนการสอนที่สนุกและออกนอกกกรอบจึงไม่ใช่ทางเลือก การสร้างสรรค์ของครูและนักเรียนจึงถูกจำกัดตัดทอน หนึ่งในผลกระทบเชิงลบของหนังสือกระดาษก็คือความรู้ที่สงบเสงี่ยมแน่นิ่ง เพราะครู 2D จำนวนมากไม่สามารถใช้ความรู้จากหนังสือหรือตำราเรียนเอาไปถ่ายทอดสื่อสาร จุดไฟ และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นให้กับนักเรียนของพวกเขาได้
การศึกษา 2D
การศึกษาด้วยตำราเรียน 2D ผ่านครู 2D จึงผลิตนักเรียน 2D ออกมาจำนวนมาก พวกเขาทั้งหมดอาจมีความสามารถพิเศษ แต่การศึกษา 2D ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ความสามารถพิเศษนั้นเติบโตขึ้น การศึกษา 2D เป็นเสมือนเครื่องสำเนามนุษย์ซึ่งขัดเกลาเอาความปรารถนาหลงใหล (passion) ออกไป ในทางกลับกันมันได้สร้างมนุษย์โคลนนิ่ง (clones) หรือสิ่งมีชีวิตเลียนแบบที่มีความรู้เหมือนๆ กันจำนวนนับพัน
ในยุค 2D มนุษย์โคลนนิ่งเหล่านี้มีเพียงพอสำหรับการป้อนคนเข้าสู่บริษัท องค์กร หรือสังคมให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่ในยุคปัจจุบันกระบวนการ smarting หรือการใช้ความอัจฉริยะ (Smart) ของเทคโนโลยีสารสนเทศกำลังมีบทบาทสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้แสวงหาความรู้ เป็นกระบวนการเชิงรุกในการเรียนรู้จากกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่า
เริ่มต้นด้วยความกล้าหาญที่จะคิดใหม่เกี่ยวกับขนบของสิ่งพิมพ์ยุค 2D กล่าวคือเราต้องกล้าเลือกใช้สื่อใหม่และอินเทอร์เน็ตเพื่อพัฒนาสิ่งพิมพ์ยุค 2D ให้เกิด “กระบวนการเติบโตของหนังสือ” (book growth) และนำกระบวนการนี้เข้ามาแทนที่ช่องว่างระหว่างครูและนักเรียน เพราะหากปราศจากกระบวนการ smarting ดังตัวอย่างนี้เสียแล้ว การนำสื่อใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เข้ามาใช้ในระบบการศึกษาก็ดูจะกลายเป็นเรื่องเสียเวลาและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
คนฉลาด (Smarts)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่สารสนเทศถูกป้อนเป็นวัตถุดิบให้แก่สมองซึ่งทำงานตลอดเวลาไม่รู้จบ สมองมีการเชื่อมต่อใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาโดยใช้ความรู้ที่สะสมเอาไว้เชื่อมร้อยเข้ากับความรู้ใหม่ ทักษะในการเรียกเอาความรู้ออกมาใช้งานจะสูญหายไปหากเราหยุดใช้ความรู้นั้นหรือจะถูกแทนที่ด้วยทักษะที่ดีกว่า นี่เป็นวิวัฒนาการทางพฤติกรรมโดยทั่วไป เช่นเดียวกับประสาทที่ไม่มีการใช้งาน การเชื่อมต่อของประสาทส่วนนั้นก็จะเสื่อมสลายไป ขณะที่การเชื่อมต่อใหม่จะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่เสมอในระบบที่มีการใช้งานต่อเนื่องเป็นประจำ โครงสร้างของสมองจึงมีขนาดอันมหึมาจนยากจะจินตนาการ
ในยุค 3D บทบาทของคนฉลาด (Smarts) เป็นรากฐานของการประกอบการสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งบริษัทและธุรกิจจำนวนมากกำลังมองหาสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นภาคการศึกษาจึงควรปรับตัวรองรับการสร้างคนฉลาดสำหรับยุค 3D แต่ก่อนอื่นเราควรทำความรู้จักเสียก่อนว่า “คนฉลาด” (Smarts) นั้นมีลักษณะเช่นไร
ในยุค 3D ซึ่งมาพร้อมกับกองทัพสารสนเทศปริมาณมหาศาล คนฉลาดจึงเสมือนปลาที่ว่ายอยู่ในสายน้ำอันเชี่ยวกราก ยิ่งได้เรียนรู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งฉลาดขึ้นและมีขีดความสามารถสูงขึ้นกว่าคนอื่น วิธีเดียวที่จะทำให้คนฉลาดกลับมาคล้ายหรือเหมือนกับคนยุค 2D ก็คือต้องทำลายความปรารถนาหลงใหล (passion) ของพวกเขาด้วยการจำกัดการเข้าถึงสารสนเทศ
...อนิจจา! นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาแบบ 2D นั่นเอง
เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวของนักเรียนที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าแต่จำต้องทนเรียนอยู่ในห้องเรียนอย่างเจ็บปวด เพียงเพราะพวกเขาไม่เหมาะกับสาระวิชาแบบ 2D ภายใต้ระบบการศึกษาที่มีลักษณะเหมือนการให้อาหารพืชแบบน้ำหยด หรือบางทีเราอาจจะเคยเป็นนักเรียนแบบที่ว่าและเคยประสบสิ่งนั้นมากับตัวเอง เช่นเดียวกันกับครู มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับครูที่ถูกเพื่อนร่วมงานสกัดกั้นความคิดใหม่ๆ จนต้องถดถอยท้อแท้
แต่การเคลื่อนเข้าสู่ยุค 3D นั้นทำให้ช่องว่างระหว่าง “คนฉลาด” กับ “แกะ” (หมายถึง คนที่ไม่กล้าแตกต่าง) กำลังเผยให้เห็นประจักษ์ชัดเจนขึ้น เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ผู้คนมีโอกาสเข้าใกล้ศักยภาพสูงสุดของตนเอง ยิ่งเรามีคนฉลาดมากเท่าไหร่ พวกแกะก็จะยิ่งถูกตัดขนเอามาทำเครื่องนุ่มห่มมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเราไม่อาจบังคับให้แกะกลายเป็นคนฉลาดได้ ดังนั้นคนที่เปรียบเสมือนพวกแกะจำเป็นต้องตระหนักรับรู้ด้วยตนเองว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่แตกต่างนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
การเติบโตของหนังสือ และศิลปะของการสร้างหนังสือให้เติบโต
คนฉลาดมีลักษณะบางประการที่คนพวกแกะไม่มี นั่นคือพวกเขากระหายเรียนรู้อยู่เสมอ จากคุณลักษณะเช่นนี้เองพวกเขาจึงมีสารสนเทศเพิ่มพูนเข้ามาตลอดเวลา นี่คือการเลียนแบบการทำงานของสมอง เพราะสมองทำงานและเติบโตด้วยการสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับสารสนเทศอันหลากหลายที่ถูกป้อนเข้ามา ตำราเรียน สิ่งพิมพ์ และการศึกษาแบบ 2D ขัดขวางสมองมิให้ทำงานเชื่อมต่อสารสนเทศใหม่ๆ สมองจึงไม่อาจเรียนรู้ได้ตามที่ธรรมชาติกำหนดให้เป็น เพราะมันถูกปิดกั้นหรือจำกัดการรับสารสนเทศใหม่ที่แตกต่างหลากหลาย
สมมติว่าเราบอกลาการศึกษา 2D ที่มีพื้นฐานซึ่งอิงอยู่กับสิ่งพิมพ์ 2D และสมมติว่าเราไม่ได้มองตำราหรือหลักสูตรในฐานะที่เป็นจุดหมายปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการระเบิดของสารสนเทศ เมื่อนั้นแหละที่ “การเติบโตของหนังสือ” (book growth) จะบังเกิดขึ้น
ครูที่มีความสามารถจะไม่มองหนังสือดีที่ตนเองสอนมีสถานะเป็นตำราเรียน แต่เขาปรารถนาจะเห็นมันเป็น “หนังสือที่เติบโต” (growth book) โดยอาศัยเครื่องมืออย่างเช่นอินเทอร์เน็ตและสื่อใหม่สารพัดชนิด เพื่อดึงดูดผู้เขียนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับกระบวนการเรียนรู้จากหนังสือที่เขาเขียน แน่นอนว่าผู้เขียนเองก็คงอยากเห็นหนังสือของเขาเติบโตมีชีวิต แทนที่จะถูกนำไปใช้แบบทื่อๆ โดยครูที่เขาไม่รู้จัก
ด้วยหลักคิดตั้งต้นเช่นนี้ หนังสือตำราจะกลายเป็นหนังสือออนไลน์ที่มีเนื้อหาแพรวพราว ไม่ใช่อีบุ๊คที่แน่นิ่ง แต่เป็นสื่อผสมและเอกสารที่เรียบเรียงขึ้นมาใหม่ หนังสือสามารถเติบโตได้หลายวิธี ครูอาจสัมภาษณ์ผู้เขียนและขยายเนื้อหาของหนังสือแบบออนไลน์ด้วยการทำเป็นคลิปวิดีโอการสัมภาษณ์ นักเรียนอาจค้นคว้าสารสนเทศจากสิ่งพิมพ์หรือแหล่งสารสนเทศดิจิทัลอื่นเพิ่มเติมเข้าไปในหนังสือ หรือเป็นไปได้ว่านักเรียนบางคนอาจต้องการเพิ่มเนื้อหาบทใหม่เข้าไปในหนังสือ ด้วยการเปิดเวทีอภิปรายถกเถียงกับผู้เขียน และเปิดให้กลุ่มคนที่สนใจในประเด็นเดียวกันแต่มาจากทั่วทั้งโลกเข้ามาร่วม ผู้เขียนคนอื่นก็อาจนึกสนุกเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย สุดท้ายแล้วเนื้อหาของหนังสือนั้นก็จะมีทั้งความลึกและสีสันอันหลากหลายเพราะมีสารสนเทศใหม่เพิ่มเข้ามา
กระบวนการสร้างหนังสือให้เติบโตเช่นนี้เองอาจทำให้แม้แต่ตัวผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นๆ รู้สึกได้ถึงแรงบันดาลใจใหม่จนถึงขั้นลงมือเขียนเนื้อหาบทใหม่เพิ่มอีก เขาอาจให้ข้อมูล อธิบาย ตลอดจนตั้งคำถามและนำเสนอแนวคิดใหม่ เพราะสำหรับตัวผู้เขียนแล้วการทดลองเช่นนี้นับเป็นประสบการณ์การเรียนรู้รูปแบบหนึ่งซึ่งคงหาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ เขาคงไม่คิดว่าหนังสือกระดาษที่แน่นิ่งจะพัฒนาขึ้นอย่างทันทีทันใด กลายเป็นเว็บความรู้ที่มีพลวัตและมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้
เขายังภูมิใจได้มากไปกว่างานดั้งเดิมของเขาเพราะเนื้อหาหนังสือที่เติบโตอาจพัฒนาไปอยู่ในรูปแบบของบล็อก ทวีต โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พอดคาสต์ วีล็อก ฟอรั่ม และช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่อื่นๆ ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าหนังสือกำลังวิวัฒน์ไปอย่างถาวร
การสัมมนาผ่านเว็บ (webminar) และการประชุมออนไลน์ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าแรงเหวี่ยงนี้จะยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบของสิ่งที่เรียกว่า “หนังสือที่เติบโต” ซึ่งครู 3D และนักเรียน 3D จากโรงเรียนที่แตกต่างกันสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางออนไลน์ด้วยประเด็นคำถามที่ท้าทายและก่อให้เกิดสารสนเทศที่เพิ่มพูนมากขึ้น
เมื่อมาถึงจุดนี้ หนังสือจึงไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้เขียนหรือของครูแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป หลักสูตรก็จะไม่ใช่วิชาของครูคนใดคนหนึ่ง ห้องเรียนก็จะไม่ใช่เป็นของเด็กหรือหนุ่มสาวแค่ 20-30 คนที่รวมกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน เพราะนี่คือแนวโน้มใหม่ของการศึกษาที่นำเอากระบวนการ smarting เข้ามาใช้
smarting เป็นคำที่ชี้ให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างความปรารถนาหลงใหล (passion) กับความสามารถพิเศษเพื่อสร้างคนฉลาด (Smarts) ครู 3D ผู้เขียน 3D นักเรียน 3D ทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาหลงใหลเกี่ยวกับงานของตน ปฏิสัมพันธ์ในยุค 3D ทำให้พวกเขาฉลาดขึ้นและมีความมุ่งมาดปรารถนาสูงขึ้น การเติบโตของหนังสือทำให้หนังสือกระดาษแบบเดิมเกิดการวิวัฒน์และกระตุ้นพัฒนาการของนักเรียนและครูไปสู่คนฉลาดสำหรับยุค 3D
แต่เรื่องราวของสิ่งพิมพ์ 2D ยังไม่จบและอาจไม่มีจุดจบ เพราะหนังสือ 2D นั้นเป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้ 3D ได้แตกหน่อเป็นพรรณไม้ใหม่ๆ เราจึงไม่ควรกังวลว่าหนังสือกระดาษจะล้มหายตายจากไป
ครั้งหนึ่งหนังสือกระดาษเคยเป็นก้าวย่างอันน่าเกรงขามในการพัฒนาของมนุษยชาติ เช่นเดียวกับการค้นพบวงล้อที่นำมาใช้ในการเคลื่อนที่และขนส่ง ทุกวันนี้หนังสือและวงล้อก็ยังคงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของชีวิตมนุษย์ หากปราศจากวงล้อ การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วคงไม่เกิดขึ้น เพราะแม้แต่เครื่องบินก็ยังต้องใช้ล้อในการลงจอด และหากปราศจากหนังสือ ผู้คนกว่า 90% หรือมากกว่านั้นในโลกใบนี้ก็คงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
สิ่งซึ่งเราควรทำก็คือมาช่วยกันส่งเสริมให้เด็กและนักเรียนของเราปรารถนาที่จะเป็นคนฉลาดในยุค 3D และนำชีวิตใหม่ที่มีอนาคตมอบให้แก่พวกเขา
ห้องสมุด 3D
เมื่อกล่าวถึงหนังสือที่เติบโตของยุค 3D คงต้องพูดถึงห้องสมุด 3D ด้วยเช่นกัน แนวคิดบางประการเกี่ยวกับห้องสมุด 3D ที่สอดรับกับหนังสือที่เติบโต (growth book) อาทิเช่น
ห้องสมุดอนาคต 3D มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็น “บ้าน” สำหรับหนังสือที่เติบโต เป็นสถานที่ที่ไม่เพียงมีหนังสือแต่ยังเป็นสถานที่ของผู้เขียนหนังสือด้วย ที่นี่จะเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนมาพบปะกับนักเขียนทั้งในรูปแบบเสมือนจริงและพบเจอตัวผู้เขียนจริงๆ จนเกิดเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนกับผู้อ่านที่จะร่วมกันดูแลและทำให้หนังสือเติบโตต่อไปไม่สิ้นสุด
ข้อวิจารณ์และความคิดเห็น [3]
1. Jef Staes กล้าหาญอย่างยิ่งที่เสนอแนวคิดเชิงข้อสรุปว่า ‘หนังสือ’ เป็น ‘ผลลัพธ์อันไม่ตั้งใจ’ ที่ทำลายความปรารถนาหลงใหล (passion) และความสามารถ (talent) ของผู้เรียน ทั้งๆ ที่สองสิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการค้นพบตัวเอง และเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับปัจเจกบุคคลในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมยุคใหม่ที่ท่วมท้นไปด้วยสารสนเทศ
แต่แนวคิดอันแสนจะท้าทายเช่นนี้กลับไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่า หนังสือก่อให้เกิดผลผลิตที่เรียกว่า “คนขี้อาย” หรือคนที่ไม่กล้าแตกต่างได้อย่างไร ตามแนวคิดของเขา เราพอจะคล้อยตามและเข้าใจได้ว่าการเรียนรู้ผ่านหนังสือนั้นมีข้อจำกัด เป็นความรู้แบนๆ ที่ขาดความลึกและความหลากหลาย แต่การก่อรูปความคิดและบุคลิกภาพของคนๆ หนึ่งล้วนมาจากเหตุปัจจัยมากมาย มิใช่มาจากเพียงการเรียนรู้ผ่านหนังสือเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมของครอบครัว อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน ค่านิยมทางสังคม ตลอดจนกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (socialization) ซึ่งการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้
การรวบรัดสรุปแบบกระโดดข้ามเร็วเกินไปเพื่อมุ่งไปสู่ประเด็นหลักที่ต้องการ เป็นจุดอ่อนที่ทำให้แนวคิดนี้ลดความหนักแน่นน่าเชื่อลงไปมาก
2. แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนผ่านจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ จากยุค 2D เป็นยุค 3D หาใช่สิ่งใหม่ การเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมไปสู่ยุคสารเทศคือการเผชิญหน้าร่วมกันที่ทุกคนต่างก็ตระหนักรับรู้ แนวคิดนี้จึงดูธรรมดาจนถึงอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับผลงานชิ้นเอกของอัลวิน ทอฟฟเลอร์ (Alvin Toffler) ที่ได้นำเสนอไว้อย่างซับซ้อนและเพียบพร้อมด้วยหลักฐานอ้างอิง ในหนังสือไตรภาคสุดคลาสสิก[4] ซึ่งเขียนมาแล้วก่อนหน้านี้นานมากกว่า 20 ปี
แต่ประเด็นที่น่าสนใจในงานเขียนชิ้นนี้คือการพยายามชี้ให้เห็นว่า โลกยุคใหม่จำเป็นต้องมีกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่และการสร้างคนพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะความคิดรวบยอดของเขาที่มีนัยว่า การค้นหาและค้นพบตนเองของผู้เรียนจนสามารถปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดออกมา คือจุดหมายที่แท้จริงของการศึกษาและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับยุคสารสนเทศและดิจิทัล
แนวคิดเรื่อง ‘คนฉลาด’ และ ‘หนังสือที่เติบโต’ ยังสะท้อนมุมมองว่าเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด คือสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่จำเป็นของโลกยุคใหม่ แต่ Jef Staes ก็ชี้เป็นนัยเช่นกันว่าสภาวการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับสภาพแวดล้อมของระบบการศึกษาแบบเหมาโหลดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในหลายประเทศ
3. แนวคิด “หนังสือที่เติบโต” (growth book) เป็นอีกหนึ่งรูปธรรมของปรากฏการณ์ในสังคมเครือข่าย (networked society) คล้ายกับกรณีสารานุกรมไซเบอร์อย่าง Wikipedia แม้ว่ามันจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ผู้แปลมั่นใจว่าเทคโนโลยีที่เชื่อมร้อยผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมและรวมกันเป็นเครือข่ายได้อย่างง่ายดายมากขึ้นนี้เองเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดระบบ ‘เศรษฐกิจแบ่งปัน’ (Sharing Economy) ดังมีตัวอย่างธุรกิจแนวใหม่อาทิเช่น Uber Airbnb Netflix ซึ่งเราจะเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในทุกภาคส่วน ไม่จำเพาะเรื่องทางด้านเศรษฐกิจ จนกลายเป็นเรื่องปกติในที่สุด
แน่นอนว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยมักเต็มไปด้วยความปั่นป่วนยุ่งเหยิง พฤติกรรมดั้งเดิมที่คุ้นเคยย่อมปะทะกับสิ่งใหม่ที่ก้าวเข้ามาด้วยอาการขัดขืนต่อต้านหวาดระแวง แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้มาโดยตลอดว่าสุดท้ายแล้วไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นความเปลี่ยนแปลงไปได้ กรณีของ ‘หนังสือที่เติบโต’ อาจล้มเหลวเป็นแค่จินตนาการหรืออาจเกิดขึ้นจริงจนกลายเป็นความปกติคุ้นเคยในอนาคตก็ยากจะบอกได้ แต่สัญญาณเตือนของการเรียนรู้ผ่านหนังสือแบบเดิมๆ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
4. งานเขียนสั้นๆ ของ Jef Staes แสดงให้เห็นถึงความไม่จีรังของความคิดเก่า และความเป็นอนิจจังของสังคม กาลเวลาที่เดินไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ประดิษฐกรรมใหม่ ความคิดใหม่ ค่านิยมใหม่ คือสิ่งซึ่งเกิดขึ้นและต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
ถึงแม้ว่ากระบวนการ smarting ในระบบการศึกษาจะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นจริงก็อาจไม่ได้สร้างคนฉลาด (Smarts) ตามคุณสมบัติที่ควรจะเป็นเสมอไป การเติบโตของหนังสืออาจไม่เกิดขึ้นเลยหรืออาจเกิดขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างออกไป สำหรับผู้แปลแล้วสิ่งเหล่านี้กลับมิใช่สาระสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ เพราะภาพการเปลี่ยนแปลงที่ Jef Staes นำเสนอเป็นเสมือน scenario หนึ่งในบรรดาภาพอันหลากหลายที่นักคิดนักอนาคตวิทยาต่างก็พูดถึง เราจึงควรไตร่ตรองความเป็นไปได้และคิดหาหนทางรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เชื่อว่าหลีกเลี่ยงไม่พ้นเพื่อให้เกิดผลกระทบทางลบน้อยที่สุด ในทางกลับกันเราควรปรับตัวและนำเอาการเปลี่ยนแปลงนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
“ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป...”
ปีศาจ, เสนีย์ เสาวพงศ์
------------------------------------------------
ข้อเขียนชิ้นนี้ แปลเก็บความจาก “3D Libraries for 3D Smarting” เขียนโดย Jef Staes ในหนังสือ Better Library and learning Space: Projects, Trends and Ideas, Les Watson (บ.ก.), Facet Publishing, 2013. อนึ่ง ผู้แปลได้เรียบเรียงขัดเกลาและดัดแปลงบางส่วนของบทความเดิมด้วยการเขียนเพิ่มเติมเข้าไปด้วย โปรดระมัดระวังในการนำไปใช้อ้างอิง
[1] Jef Staes นักคิดนักพูดชาวเบลเยี่ยม ผู้ริเริ่มใช้คำนี้ ไม่ได้ขยายความหมายของคำว่า 2D และ 3D ไว้อย่างชัดเจนเท่าไรนักในบทความของเขา แต่มุ่งใช้ในความหมายที่ต้องการแยกให้เห็นถึงยุคสมัยที่แตกต่างกัน จากยุคเดิมสู่ยุคใหม่ ในที่นี้ 2D จึงไม่ได้หมายถึง สองมิติ และ 3D ไม่ใช่หมายถึง สามมิติ ผู้แปลจึงขอเรียกใช้ทับศัพท์ตามต้นฉบับ
[2] ในที่นี้ น่าจะหมายถึงความไม่กล้าแตกต่าง คนที่ไม่กล้าคิดต่างสร้างสรรค์ – ผู้แปล
[3] หัวข้อนี้เขียนเพิ่มเติมโดยผู้แปล – วัฒนชัย วินิจจะกูล ฝ่ายวิชาการ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้
[4] Future Shock (1970) The Third Wave (1980) และ Power Shift (1990) ซึ่งทำนายคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ของโลกครอบคลุมระยะเวลา 85 ปี โดยเฉพาะผลสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งสามเล่มแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
ที่มาภาพ
https://www.linkedin.com/pulse/performance-appraisals-dummies-13-jef-staes-1
http://fwrealestate.net/8-great-decoration-tips-to-brighten-up-any-boring-classroom/
http://www.hetstreekblad.nl/nieuws/62369/sooog-opent-smart-education-hub-in-oostwold/
https://www.enjoyitaly.org/wp-content/uploads/2016/06/ICT2.jpg
https://www.fastcodesign.com/1662898/how-steelcase-redesigned-the-21st-century-college-classroom
http://www.jefstaes.com/contact/
http://informalcoalitions.typepad.com/informal_coalitions/2008/04/fostering-innov.html
http://www.reply-mc.com/2009/01/12/a-conflict-isn%E2%80%99t-always-a-bad-thing-part-5/