จงตก หมกมุ่น ผิดพลาดและเรียนรู้อย่างเห็บเหาอยู่ในเหว แล้วค่อยปีนขึ้นมาเป็นดาวฤกษ์”
8 เมษายน 2565
224
‘ตุ้ย’ เสกสรร อุ่นจิตติ ครีเอทีฟหาตัวจับยากของวงการโฆษณาในยุคหนึ่ง เมื่อหน้าที่การงานของเขากำลังพุ่งไปสู่จุดสูงสุดที่ทุกคนใฝ่ฝัน เขากลับผันตัวเองมาเรียนรู้การทำการเกษตรภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไม่แปลก ไม่ปลูก” และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ‘จอน นอนไร่’
เขาบอกว่าเขาเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่จากบทสนทนาของสองตัวตนระหว่าง ‘ตุ้ย’ ตัวตนที่คิด เรียบเรียงทุกสิ่งอย่างเป็นระบบ และมีเหตุมีผล กับ ‘จอน’ นักสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างไร้กรอบ เมื่อสองตัวตนของเขาถกเถียงกันจนได้เรื่อง เขาจึงสร้างสรรค์การทำเกษตรรูปแบบใหม่ที่คำว่า ‘เฉพาะตัว’ ยังน้อยไป
บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ ทั้ง ‘ตุ้ย’ และ ‘จอน’ จะพาพวกเราเข้าสู่วิธีการเรียนรู้แบบ จอน นอนไร่ ที่ดำดิ่งหมกมุ่นในหุบเหวของการเรียนรู้ แล้วพุ่งทะยานสู่จักรวาลอันไกลโพ้นเพื่อไปเป็นดาวฤกษ์ หนนี้ ตุ้ยและจอนจะแง้มประตูให้เราแอบดู chapter ใหม่ในชีวิตของเขาที่เขาใหญ่ และเป็น chapter ที่เขานิยามตัวเองว่า ‘เจ้าเมืองแปร (รูป)’
ตอนนี้คุณกำลังสนใจเรื่องอะไร
สบู่ เริ่มประมาณ 8 ปีก่อน คือผมเกิดอุบัติเหตุจนแขนผมมันใช้ไม่ได้ประมาณครึ่งปีกว่า ช่วงนั้นผมปลูกผักไม่ได้ แต่มันอยู่เฉยไม่ได้ก็เลยมาศึกษาเรื่องสบู่ ระหว่างหมกมุ่นกับการทำสบู่และกำลังเข้าที่ แขนก็กลับคืนมาเป็นปกติเลยหยุดไป
มาเริ่มอีกทีตอนที่หลังบ้านเขาอยากเรียน ผมก็บอก เฮ้ย เดี๋ยวผมสอน ผมจึงกลับมาทำสบู่ ไหนๆ จะสอนแล้วผมก็ปัดฝุ่นสิ่งนั้นขึ้นมาเลย จนถึงวันนี้มันผ่านการ learning ครั้งสำคัญมาเต็มไปหมดตั้งแต่เรื่องสมุนไพร ดอกไม้ กลิ่น
ผมตั้งชื่อสบู่ว่า ‘บุปผจอน’ มีพี่คนหนึ่งบอกว่าหาอะไรที่มันไพเราะกว่านี้ได้ไหม ผมบอกไม่ ผมมีหน้าที่ใช้ความสามารถ ซึ่งความสามารถในปี 2022 นี้ ผมเก่งเรื่องสมุนไพรมากขึ้น แล้วผมจะเริ่มลึกกับมัน
เวลาคนเราลงลึกกับอะไร คุณต้องกลายเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณถึงระดับนั้นนะ คุณจะทำอะไรก็ได้ เพราะคุณเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว มันอาจจะดูเซนๆ ไม่ว่างานอะไรคุณต้องผนึกกับสิ่งที่คุณทำ แล้วคุณจะเกิดมิติที่เราจะรู้เองว่ามันเป็น learning
คุณเป็นครีเอทีฟ แล้วมาเป็นเกษตรกร และกำลังทำสบู่ คุณมีวิธีการเรียนรู้ทุกเรื่องราวใหม่ๆ อย่างไร
สำหรับผม ผมไม่ได้คิดมากอะไรกับทั้งสิ้นเลย มันเป็นความยุ่งเหยิงแบบเป็นระบบของมันเอง คือเริ่มด้วยความยุ่งเหยิง แต่เป็นระบบในภายหลัง ผมมีตัวตน 2 แบบอยู่ในตัวเอง มีตัวตนที่จัดระเบียบและไม่จัดระเบียบ มันจะขัดแย้งตลอดเวลา เพราะความยุ่งเหยิงมันจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ แต่ระบบก็จะต้องมาเพื่อทำให้เราไม่ฉิบหาย
คำตอบของคำถามนี้ ผมไม่สามารถที่จะคิดเป็น pattern ให้คุณจัดๆ ได้ แต่ผมจัด pattern ภายหลังได้แล้วสรุปบทเรียนตัวเองออกมาได้
ผมสอนให้คนหมกมุ่น จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมกมุ่น’ เป็นคำ negative แต่สำหรับผมคือ positive ผมเป็นพวกรักเหวลึกของงาน ทุกคนมีเหว มันฟังดูเพี้ยนนะ (หัวเราะ) เหวใครเหวมันเลยไม่ใช่ห่าเหวด้วยแต่คือ เหว
เหวของบางคนก็ตกหล่ม เหวของบางคนก็ไม่รู้อนาคต เราทุกคนมีเวลาที่จะอยู่กับเหว คุณอาจจะลงเหวแล้วโคตร negative แต่สำหรับผมมัน positive เสมอ เพราะว่าเราต้องไปหมกตัว ครุ่นคิด ตีความ ศึกษา คุณต้องใช้ความสงัดกับสมาธิ เพราะคุณต้องออกจากห่าเหวนั้นขึ้นมาใหม่ แล้วคุณก็กลับลงไปในเหวนั้นอีก นั่นคือวิธีเรียนรู้ของผม
เหวทำให้เกิดสมาธิ เพราะฉะนั้นมันคือการจมลง การดำดิ่งทำให้เราค้นเจอ แต่ก็มีโอกาสที่จะล้มเหลวไปเลยก็ได้ถ้าไม่กลับออกมา ในมุมมองของผมการกลับออกมาเป็นความคิดเชิงระบบ เพราะถ้าคุณอยู่ในเหว คุณจะไม่รู้อะไรเลย คุณต้องฟังโลกแต่คุณต้องไม่แคร์โลก แค่คุณต้องฟัง
เวลาลงเหว ห้ามมีใครมายุ่งกับคุณ เหวนี่ลงไปแล้วทำผิดพลาดได้ ผมเองก็ผิดพลาด เช่น ตอนผมทำไซรัปผมดูจาก YouTube ส่วนใหญ่สูตรใน YouTube นี่หลอกทั้งนั้น ใครจะบอกความจริงทั้งหมด ใช่ไหม วิธีที่ผมเรียนรู้จากความผิดพลาดนี้คือเราก็ต้องเอาข้อมูลมากองไว้บนโต๊ะว่ามันมีกี่วิธีในการทำ แล้วจะกลับไปสู่ความเป็นจอน นอนไร่ ที่ผมพูดตลอดเวลาว่าอย่าเชื่อข้อมูลเดียว ให้เอาข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้มากองไว้ตรงหน้า ความรู้ knowledge know-how มาวางให้หมด แต่แค่นั้นก็ไม่พอ ผมต้องออกไปดูโลกข้างนอกด้วยว่าเขาทำอะไร ตอนนั้นผมออกไปดูสถานที่ ออกไปดูวิธีการเชื่อมน้ำตาลจริงๆ แล้วผมกลับมาเคี่ยวไซรัปเองด้วยเตากระทะ นั่นคือช่วงเวลาที่ผมดำดิ่งลงเหว ลองผิดลองถูกทุกกระบวนการ ทุกความรู้ สร้าง process ขึ้นมา เพราะโลกนี้มันเดินได้ด้วยคำว่า process คนที่มี process คือคนที่อยู่ได้ตลอดไป แต่ process ต้องถูกแก้ตลอดเวลา เราเรียนรู้ แก้ไข และสร้าง process ใหม่ที่ดีขึ้น
ความรู้สึกในเหวเป็นอย่างไรบ้าง
มีความสุขซาบซ่านที่สุดและคลั่งไคล้ นี่คือช่วงชีวิตที่คุณกำลังดำดิ่ง ใครก็อย่ามายุ่งกับชีวิตกู คือแม่งสนุก เช็กง่ายที่สุดเลยนะ ว่าการอยากตื่นเช้ามาตั้งแต่ตี 4 ตี 5 คิดว่าเช้านี้กูจะทำอะไร แล้วกระวนกระวายว่าเมื่อไรจะสว่างสักที อันนี้เป็นหลักในการเช็กตัวเอง เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่เรากำลังคลั่งกับมันมากแบบกูรอให้เช้าไม่ได้แล้ว ถ้าเทียบกับคนก็คือ กูหลงใหล กูรักมึงสุดขีด
ย้อนกลับไปที่เรื่องการทำสบู่ ก่อนจะเป็นสบู่หนึ่งก้อนคุณมีขั้นตอนในการทำอย่างไรบ้าง
ผมหวนกลับมาปัดฝุ่นเรื่องการทำสบู่เมื่อ 7 ปีก่อน เพราะข้างบ้านอยากให้สอน ซึ่งสิ่งที่ผมเจออย่างหนึ่งคือผมควรใช้คุณค่าไทยให้สูงกว่านี้ แล้วผมค้นพบว่า ข้าวนี่แหละคือ product ที่สำคัญในการทำสบู่
สำหรับผม ผมมีหน้าที่ต้องสร้างคุณค่าของข้าวให้ดีที่สุดที่ไม่ใช่แค่มีไว้กิน แต่ผมจะทำบริบทใหม่ในข้าวเพื่อดึงความสามารถของข้าวออกมา สิ่งที่ผมทำมันไม่ใช่ new idea เพราะมันมีอยู่ก่อนแล้ว ผมแค่เอามาปัดฝุ่นแล้วก็ทำใหม่
ด้วยความที่ผมจบออกแบบมาก็เลยจะรู้ทิศทางของสี ผมเอามันมาใช้กับการทำสบู่ คืนก่อนผมนั่งคิดว่าจะแกะสีจากตัวละครบุษบาออกมาจากภาพเขียนของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤตได้อย่างไร ผมจึงมาดู combination ของสีให้ตรงกับคาแรคเตอร์ของแม่นางบุษบา ผมเรียกสิ่งนี้ว่าทฤษฎีย้อนแม่น้ำ คือคุณต้องแกะออกมา ผมเป็นดีไซเนอร์ ผมเก่งเรื่องสี ผมปลูกต้นไม้ผมจะรู้เรื่องสีสัน ผมดูดอกไม้ผมจะดูเรื่องสีสัน ผมทำสบู่ก้อนผมก็เริ่มจากสีสัน ผมทำโยเกิร์ตผมเรียงสีที่เป็นพาสเทลทั้งหมด ผมเก่งเรื่องสีที่สุด มันเป็นสิ่งที่อยู่ใน iCloud หรือกบาลของผม เพราะเจ้านายผมคนแรกในชีวิตคือพี่ต่อ สันติศิริ แกบอกผมว่า แกเลือกผมเข้ามาอยู่ในทีมเนี่ย เขาบอกว่ามึงไม่ได้เก่งแต่กูรับมึงเลยเพราะสีมึงสวย ตั้งแต่นั้นผมเก็บใส่ iCloud ของผมไว้เลย
ในขั้นตอน ภาพของบุษบาที่ผมแกะได้คือสีครีม สีครีมเป็นสีแห่งความเบิกบานและอ่อนเยาว์ สีชมพูทำให้เกิดความรัก ผมไม่รู้อาจารย์จักรพันธุ์คิดอะไร แต่ผมคิดแบบผม นี่คืองานละเอียด พอผมเล่าเรื่องนี้ ผมขายสบู่ก้อนละ 80 คนเขาก็ซื้อ เพราะกูคิดมากให้มึง คิดแม่งให้เยอะ มันกลับมาสู่ที่ผมบอกคุณว่าทำไมผมต้องใช้ข้าว เพราะมันมีคุณค่า และที่ต้องใช้สีนี้เพราะเราต้องการให้คุณค่าของมันเล่าเรื่องสิ่งนี้
ซึ่งถ้าผมเล่าต่อยาวๆ สบู่ก้อนนี้ จินตนาการของผมมันไปถึงว่า ผมคิดว่านอกจากดึงบุษบาแล้ว บุษบาเองคงอยากจะดึงอิเหนาด้วยกลิ่นหอมหมื่นลี้ เป็นการตีความของผม ผมจะใช้ความหอมมาดึงอิเหนาให้ได้
ผมรู้สึกว่าต้องเอาอดีตกลับมารุ่งเรืองในโลกอนาคตด้วยการหยิบมันออกมาปัดฝุ่น แต่ว่าต้องเชื่อมโยงไม่ทำแบบ OTOP ที่สำคัญ packaging ต้องสวย ต้องดีไซน์ มึงต้องคิด ผมจะบอกให้คนคิดให้ใหญ่ คิดให้มากแต่ตอนลงมือทำ ทำให้มันเล็ก ต้องทำเป็น prototype ต้นแบบ แล้วถ้าคุณคิดเล็กทำเล็ก ห่วยแตก คิดใหญ่ทำใหญ่ ห่วยแตก ก็คิดให้มันใหญ่ทำออกมาให้มันเล็ก คิดให้ซับซ้อนวุ่นวายยุ่งเหยิงเต็มหน้ากระดาษสร้าง mind map แต่ทำออกมาให้ง่ายที่สุด
คุณเคยเล่าว่าคุณมีสองตัวตน สองตัวตนของคุณทำงานกับคุณอย่างไรบ้าง
ผมมองว่ามนุษย์มันต้องมี 2 ด้าน ในเรื่องของ logic (ตรรกะ) กับ imagination (จินตนาการ) ถ้าเกิดคุณเป็นคนที่ไม่ success เลยในโลกนี้ นั่นเพราะคบคนทางเดียวกันหมด ติสต์แดกมาคบกับติสต์แดก ทำงานติสต์เข้าไปอีก แม่งลงเหวไปเลย ติสต์แตกไม่มีใครดึงใคร หรือ logic คบกับ logic ก็มองเป็นกล่องไปหมดเลย กล่องอะไรหาแต่เหตุผล ซึ่งคุณต้อง balance
ผมเป็นคน 2 แบบอยู่ในตัวเอง ตุ้ยเป็นฝั่ง logic และ จอนเป็นฝั่งจินตนาการ ผมจะทะเลาะกับตัวเองบ่อย อย่างวันนี้ใจผมนอนนึกทั้งคืน กูจะทำสบู่ กูจะทำสบู่ ไอ้ตุ้ยก็บอกมึงหากินหน่อย มึงส่งไข่ มึงส่งผัก ส่งของหน่อยเดี๋ยวไม่มีแดกแล้ว ไอ้จอนมันบอกก็ได้ วันนี้กูไม่ทำสบู่ก็ได้ ทะเลาะกันแต่ก็จะดึงกันไว้ ถ้าลองเป็นไอ้จอนคนเดียวเหรอ ไม่รู้เว้ย กูจะทำสบู่ ช่วงนี้กูคลั่งสบู่ ลูกค้ากำลังติดสบู่ แต่ในชีวิตจริงก็คือถ้าไม่ยอมส่งของก็ไม่มีอะไรจะกิน เห็นไหมนี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุดเลย
ง่ายสุด ถ้าคุณชื่อบีลองคุยกับบี๋ดูบ้าง บี๋มันเป็นอีกตัวหนึ่งของเรา คุณชื่อเต้ลองคุยกับฮ่องดูว่าฮ่องมันพูดอะไร มนุษย์มักจะมีอีกเสียงหนึ่งอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยฟังมันหรอก ขอเพียงแค่เราฟังแล้วเราเอามาครุ่นคิด แต่บางคนคุยกับผมก็จะเดินออกไปแล้วด่าผมนะว่าไอ้บ้า อันนั้นก็เรื่องของมึง เรากลับมาที่แก่นว่ามันคืออะไร อย่าไปดูเปลือก แก่นของเรามันคือการมีสองตัวตนก็เพื่อพยายามรักษาสมดุล
คุณค้นพบอีกเสียงหนึ่งของตัวเองเมื่อไร
ตั้งแต่เด็กเลย ผมเป็นคนชอบเถียงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก มันเป็น DNA ที่ผมได้มาจากก๋งผม ก๋งผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วเขาก็เป็นศิลปินแบบเดียวกันเลย แบบไม่มีใครคบเขาแล้วเขาก็ไม่คบใคร ซึ่งเขาไม่มีชื่อเสียงแต่เขาเก่งมากนะ เก่งมากๆ ต่างจากผม ผมปรับตัวได้ คือผมยอมความได้ ก๋งผมยอมความไม่ได้
คุณเคยรู้สึกว่าสองเสียงนี้มันเป็นปัญหาไหม หรือทะเลาะกันบ้างไหม
ไม่เคย ไม่เคยเลย ผมเนี่ยตรงข้ามกัน เช่น ผมชอบความร่าเริง ผมชอบปาร์ตี้ แต่ผมอยู่แป๊บเดียวแล้วก็หายตัววับเลย ผมอยู่ไม่นานเพราะผมเบื่อ แล้วผมก็จะไปอยู่ที่สงบเงียบของผมกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ผมเป็น 2 ด้านจริงๆ ผมอยู่ที่เขาใหญ่ผมไม่ต้องไปทำอะไรหรอก ผมอยู่นี่มีความสุขเงียบๆ แต่อยู่นานไปเดี๋ยวก็ต้องออกไปหาความอึกทึก ซึ่งผมจะเป็นแบบนี้ ผมสร้างสมดุลตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ
ต้องมีเพื่อนไหม
มี ไม่จำเป็นต้องเยอะ ก็คุยกับตัวเองได้ (หัวเราะ)
แล้วเราจะสามารถหาอีกคนในตัวเราได้อย่างไร
เคยสังเกตตัวเองไหม เคยทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำไหม นั่นแหละคือเราอีกคน หรือจู่ๆ วันหนึ่งลุกขึ้นมาทำอะไรแปลกๆ ที่เขาบอกว่าฉันจะลุกมาทำอย่างนี้สักวันหนึ่ง แล้ววันนั้นลุกขึ้นมาทำ นั่นแหละคือเราอีกด้าน หรืออาจจะเปลี่ยนลุคตัวเองเป็นอีกด้าน สมมติว่าเราเป็นคน เรียบร้อยมาก วันหนึ่งกลับแรดสุดขีดมันก็เป็นอีกด้านหนึ่งของตัวเราเอง ไม่งั้นมันจะมี dark side เหรอ dark ไม่ได้แปลว่าไม่ดี มันเป็นอีกด้านหนึ่งที่กำลังรออยู่ รอให้เราสร้างสมดุลตัวเอง
แต่สำหรับผมเป็นคนจินตนาการสูง (จอน) ผมจะฟังตุ้ยซึ่งมันตรรกะสูง ซึ่งตรรกะคือการจัดระเบียบความคิดแบบระบบระเบียบมากๆ ทั้งสองคนจะไม่เหมือนกัน
คุณสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยว่าด้วยเรื่องการออกแบบชีวิต คุณสอนให้เขามองเห็นตัวเองได้อย่างไร
ผมจะสอนให้คนมีแผล บางทีผมก็แกล้งให้มันตกบันได ไม่มีใครอุ้มชูใครได้ ถ้าคนถูกอุ้มชูเมื่อไร คุณจะเป็นเห็บเหาตลอดไป เวลาใครมาหาผม ผมจะกวนตีนและถามไปว่าอยากเป็นดาวฤกษ์หรืออยากเป็นเห็บเหา
ดาวฤกษ์มันไม่ต้องยิ่งใหญ่ ดาวฤกษ์มันเป็น network ของตัวเอง ซึ่งจะเป็นดาวฤกษ์เล็กๆ ก็ได้ แต่ดาวฤกษ์มันสามารถมีพลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวเอง แล้วสิ่งอื่นๆ จะอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แล้วมันก็โชคร้ายที่โลกครรลองไว้อย่างนั้น แต่การที่คุณสร้างเครือข่ายในความคิดของตัวเองได้ มันเกิดจากการค้นคว้าเดินทางสร้างทฤษฎีใหม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มาจากการเจ็บตัว
คนที่เป็นดาวฤกษ์ได้ มักจะผ่านประสบการณ์หนักหน่วง และสอนคนได้แบบปราชญ์ ปราชญ์ไม่เหมือนกับอาจารย์นะ อาจารย์จะบอกว่า แบบนี้คือใช่ แบบนี้คือไม่ แต่คำสอนของปราชญ์เนี่ยจะไม่บีบเค้นเขา จะไม่บอกตรงๆ ให้ไปตีความ ทำให้เติบใหญ่ แล้วทำให้โลกก้าวไปข้างหน้า เพราะมันรอให้คนคนนั้นเอาไปสร้างใหม่ นี่คือคำนิยามของคำว่า ดาวฤกษ์
ชัดสุดเลย หนังสือ how to มันขายดีเพราะว่าคนใจร้อนอยากได้ผลเร็ว แต่ how to จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะว่าทำในสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนต้องตีความจาก how to นั้นๆ มาทำเอง แล้วมันก็จะเกิดหนทางใหม่ ซึ่งหนทางใหม่จะมีแสง แล้วสอนให้คนมีแสง
เราจะเปลี่ยนแปลงจากการเป็นเห็บเหาไปเป็นดาวฤกษ์ได้อย่างไร
มันเริ่มจากความสามัญนี่แหละ แต่มันจะมีก้อนเทหวัตถุเหล่านั้นที่มันไม่ธรรมดา และไม่ยอมเป็นแบบเดิมๆ มันเริ่มเปลี่ยนสภาพ เริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยการเรียนรู้เพิ่มขึ้น มันต้องมีการครุ่นคิด แล้วอยากจะเรียนหนังสือ นิยามมันคือการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นตอนคุณยังเป็นเห็บเหา อย่ายอมจำนนในสิ่งที่คุณเป็นง่ายๆ
แล้วก็ต้องทดลอง พอทดลองเราจะเจอคำศัพท์คำว่า ‘มันอย่างนี้นี่เอง’ พอมันอย่างนี้นี่เองแล้วมันบอกใครไม่ได้ ถ้าเกิดเขาเปลี่ยนไปได้ สักพักผมก็จะเริ่มสอนได้จาก process ที่เขาเจอ
คุณเห็นการเดินทางนั้นไหม มันต้องมาจากมีแผลในมือ มันอาจจะระเบิดในการทดลองนั้นแต่มันจะรู้ว่าทำสิ่งนี้และเกิดสิ่งนี้ นี่คือ Learning Journey
Journey คือการเดินทาง แล้วจะเริ่มมีความเข้าใจ เริ่มมีแสงในตัวเองได้ เริ่มมีพลัง มีแรงดึงดูดผู้อื่น มันก็เป็นถนนของมันเองที่ไม่ได้ล่องลอยอีกต่อไป นี่พูดแบบสั้นๆ แต่สรรพสิ่งในโลกมันเริ่มจากการเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ตื่นเต้น เพียงแต่ว่าคุณอยากจะเป็นอย่างนั้นหรือจะเป็นแบบนี้ และผมก็ไม่ได้บอกให้คุณเป็นแกะดำเลย ไม่เคยพูดเรื่องแกะดำ แต่จงอย่าเป็นแกะขาว
ผมจะสอนให้คนมีแผล บางทีผมก็แกล้งให้มันตกบันได ไม่มีใครอุ้มชูใครได้ ถ้าคนถูกอุ้มชูเมื่อไร คุณจะเป็นเห็บเหาตลอดไป เวลาใครมาหาผม ผมจะกวนตีนและถามไปว่าอยากเป็นดาวฤกษ์หรืออยากเป็นเห็บเหา
การเรียนรู้คืออะไรสำหรับคุณ
Learning สำหรับผมมันมีชีวิต มีอากาศ มีหัวเราะ มีร้องไห้ มันไม่เหมือนการศึกษาที่อาจจะไม่ interactive มันไม่กลับมาหาเรา คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ใช่ก็ได้ แต่สำหรับผมรู้สึกว่ามันมีชีวิต มันมีอารมณ์ แล้วมันสนุกเพราะการเรียนรู้มันเป็นการคิด เช่น ถ้าเราหย่อนสิ่งมีชีวิตลงบนกล่อง มันต้องได้เรียนรู้เอาตัวรอดว่า หนาวว่ะ ต้องหาอะไรมาห่อตัว นี่คือ learning คือการแก้ปัญหา แต่เราจะ learning ให้เก่งต้องใช้ความรู้พื้นฐานที่ตัวเองเรียนมา ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่าถึกเกินไป ใช้ธรรมชาติมากเกินไป คุณต้องใช้ศาสตร์ที่คุณเรียนมาเอามาช่วยในการเดินทาง มันจะเข้มข้นและเหนือกว่าคนอื่น
ในเรื่องเดียวกันการเรียนรู้เราอาจจะไม่เหมือนคนอื่น แต่ละเรื่องอาจจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่สิ่งที่เอาเข้ามาเป็นส่วนผสม เอามาเป็นส่วนประกอบจะทำให้เปลี่ยนไปในแต่ละสิ่งได้ ตั้งแต่ผมเรียนศิลปะ ผมจะใช้เรื่องสีเพราะมันเป็นการ learning ในเรื่องใหม่ ส่วน learning ในเรื่องของเกษตรมันก็มาจากความเป็นครีเอทีฟของผม ถ้าเอาสิ่งนี้เข้ามาเติม มันจะแตกต่าง
What's next ของจอนนอนไร่คืออะไร
ผมจะเอาในวงที่ผมเกี่ยวข้อง เพราะผมชอบกินก็จะวนอยู่ในสวน มันบริสุทธิ์และไม่ได้มีสารเคมี อีกอย่างผมจะขวนขวายหาวิชาความน่าจะเป็นในสิ่งนั้นๆ สมมติคุณเป็นเชฟแล้วผมสงสัยว่าไอ้นี่เข้ากับอันนี้ได้ไหม ผมก็จะไปหาเชฟ เพื่อไปถามคำเดียวว่า “มันดูจะได้ไหม” ซึ่งเชฟเขาอาจจะไม่ได้คิดแบบผม แต่ผมต้องการ what’s next ต้องการสร้างสิ่งใหม่ ดังนั้นผมไม่ได้ต้องการคำตอบว่าได้หรือไม่ได้ แต่ต้องการรู้แค่ว่า “มันดูพอจะเป็นไปได้ไหม”
คนเราต้องมี what’s next นะ ถึงจะอยู่รอด มันคือการปรับตัว หลายปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมโดน copy เยอะ แม้ในโลกนี้มันมีงาน copy อยู่แล้วก็ตาม และเอาจริงๆ ผมไม่ใช่ต้นคิด ผมเป็นคนเปิดตลาดเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราไม่มี what’s next จากนี้ เราก็จะไม่รอด
ผมกำลังพลิกหนังสืออีกเล่ม เป็นหนังสือเล่มย่อย ดังนั้น what’s next ของผมคือการเป็นเจ้าพ่อเมืองแปร (หัวเราะ) งงล่ะสิ มันคือ แปรรูป คือ fusion คุณควรจะ fusion ของ หรือควรจะเปลี่ยนสภาพของไปสู่อนาคตว่ามันจะเป็นอะไรได้อีก ซึ่งต้องใช้ innovation นี่คือสิ่งที่ผมคุย มันคือแนวคิดแบบ systematic วิทยาศาสตร์ แบบที่คุณต้องมีพื้นความรู้ลึกซึ้ง แล้วอีกส่วนคือการมีความ artistic สองสิ่งนี้มันต้องผนึกกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงจะเป็นเจ้าพ่อเมืองแปรได้จริงๆ
บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Learning Designer โดยความร่วมมือระหว่างอุทยานการเรียนรู้ TK Park ร่วมกับ Deep Academy |