
ในโลกยุค 4.0 อย่างทุกวันนี้ เด็กๆ เจน Z เติบโตขึ้นมาพร้อมกันแท็บเลตและโทรศัพท์มือถือคือสิ่งปกติ การใช้สื่อออนไลน์กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญพอๆ กับการฝึกปั้นดินน้ำมัน การเข้าถึงข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กรุ่นใหม่จะมีทักษะและความเข้าใจเรื่องดิจิทัลเป็นอย่างดี สมชื่อ “Digital Native” พ่อแม่ยุคใหม่ก็เปิดกว้างมากขึ้นในการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กับลูก เด็กยุคนี้จึงได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ทั้งจากโลกออนไลน์และสิ่งแวดล้อมรอบตัว
นอกการการเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ แล้ว พ่อแม่ยุคใหม่ก็ต้องไม่ลืมสอนทักษะชีวิตที่จำเป็นให้ลูก เพราะคงจะดีไม่น้อย หากลูกรักของคุณได้ฝึกสกิลตามแบบฉบับเด็กยุคเก่าดูบ้าง เช่น การทำอาหาร ฝึกตัดเย็บ ทำความสะอาด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะเป็นทักษะชีวิตติดตัว และสอนให้เด็กๆ รู้จักจัดการชีวิตของตนเอง ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกจัดลำดับความสำคัญ ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสอย่างสอดประสาน และฝึกการแก้ปัญหาที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ว่าโลกใบนี้ ยังบางสิ่งที่ไม่สามารถตอบได้ทันทีจากการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต
ทักษะชีวิต 10 อย่างที่ไม่ควรมองข้าม น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เรื่องสำคัญๆ ที่จะเป็นก้าวแรกสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต ถ้าคุณเป็นคุณพ่อคุณแม่ มาเตรียมกระดาษปากกาให้พร้อม แล้วมาทำเช็คลิสต์ไปด้วยกัน!

1. ปั้นเชฟจิ๋ว ให้พึ่งตัวเองได้เวลาหิว
การทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน กลายเป็นทักษะที่สูญหายแม้แต่ในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำอาหาร จะช่วยให้ครอบครัวประหยัดรายจ่ายไปเป็นโข ลองมาชวนลูกเข้าครัวและสอนพื้นฐานการประกอบอาหารแบบไม่ซับซ้อน อย่างเมนูต้มจืด ผัดผัก ไข่ตุ๋น ฯลฯ สอนการใช้เครื่องปรุง เครื่องเทศ สมุนไพร วิธีปรุงผักและเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงการใช้เครื่องครัวต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง จะเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับการเข้าครัว และมองว่าการทำอาหารเองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หากคุณพ่อคุณแม่บ้านคนไหนที่ไม่ถนัดทำกับข้าวมากนัก ก็สามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูกได้เลย ช่วยกันปรุง ช่วยกันชม นอกจากจะได้ความอิ่มอร่อยแล้ว เด็กๆ ยังได้ความภาคภูมิใจด้วย

2. ตัดเย็บพื้นฐาน
ซ่อมแซมเสื้อผ้าด้วยตัวเอง เด็กหลายคนอาจเริ่มเรียนรู้ทักษะการเย็บปักจากการเย็บไหมพรมเป็นช่องกากบาทเล็กๆ บนแผ่น Cross Stich ขยับขึ้นมาจากนั้น พ่อแม่อาจสอนให้ลูกรู้จักอุปกรณ์เย็บปักพื้นฐาน และแพทเทิร์นการเย็บง่ายๆ เช่น การเย็บตะเข็บเล็กๆ การซ่อมแซมกระดุม กิจกรรมเหล่านี้ยังเป็นการสอนลูกไปในตัวเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เสื้อผ้าสามารถซ่อมแซมได้เมื่อชำรุด โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่
3. ทำความสะอาดบ้านให้น่ามอง
พ่อแม่สามารถสอนและฝึกลูกได้โดยการกำหนดงานบ้านที่เหมาะสมกับช่วงวัยให้ลูกเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น รับผิดชอบเก็บมุมของเล่นให้เรียบร้อย ทำความสะดวกโต๊ะหนังสือของตัวเอง การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มนิสัยรักความสะอาด โดยพ่อแม่อาจเป็นผู้นำทีมทำความสะอาดช่วงสุดสัปดาห์ หรือช่วยกันจัดมุมโปรดของครอบครัว นอกจากจะเป็นการสอนทักษะการทำความสะอาดแล้ว ยังช่วยสร้างสีสันให้กับบ้านอีกด้วย
4. ทดลองงานช่างแบบง่ายๆ สำหรับรุ่นเยาว์
สำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อยที่อายุมากกว่า 10 ปี พ่อแม่อาจสอนให้ลูกๆ รู้จักอุปกรณ์ช่างที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และแนะนำเรื่องการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน เช่น การใช้ค้อน ตะปู สกรู หรืออาจซื้อเซ็ตของขวัญอุปกรณ์ช่างชุดเล็กมาให้ และสอนลูกให้รู้จักแต่ละอุปกรณ์ ว่าต้องใช้กับงานช่างแบบไหน โดยในช่วงสุดสัปดาห์พ่อแม่อาจมีโปรเจ็กต์งานช่างสุดสนุกกับลูก เพื่อฝึกใช้อุปกรณ์ช่างภาคปฏิบัติ เช่น ช่วยกันทำกรอบรูปและเจาะผนังเพื่อแขวนรูปภาพ หรือสร้างชั้นวางของ
5. เขียนจดหมายด้วยลายมือ
จดหมายถือเป็นการสื่อสารพื้นฐานก่อนยุคที่จะมีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต แต่การเขียนจดหมายในรูปแบบทางการ ยังจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกการศึกษาและโลกการทำงาน ดังนั้น พ่อแม่อาจสร้างกิจกรรมการเขียนจดหมายโดยเริ่มจากการแนะนำให้ลูกรู้ถึงความสำคัญของจดหมาย การเกริ่นนำ ส่วนเนื้อหา ข้อความที่จะแสดงวัตถุประสงค์ การลงลายมือชื่อ รวมถึงรูปแบบการจัดหน้ากระดาษ ไปถึงการเลือกซองจดหมาย และการจ่าหน้าซองถึงผู้รับ หากลูกได้เรียนรู้รูปแบบมาตรฐานของการเขียนจดหมายแล้ว ทักษะนี้จะติดตัวลูกไปตลอด เด็กจะรู้จักปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้รับตามแต่ละบริบท
6. ฝึกสืบค้นข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต
ข้อนี้เด็กๆ อาจจะเถียงพ่อแม่ว่าพวกเขามีอินเทอร์เน็ตที่สามารถค้นหาได้ทุกสิ่ง แต่จะเกิดอะไรหากวันนี้คอมพิวเตอร์เสีย โทรศัพท์มือถือพัง กระนั้น การสืบค้นข้อมูลที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่งคือการค้นหาความรู้จากหนังสือที่มีการค้นคว้าและตรวจทานมาอย่างถี่ถ้วน รวมถึงจากนิตยสาร หรือการสัมภาษณ์สอบถามจากผู้รู้ รวมถึงพ่อแม่อาจนำเที่ยวที่ห้องสมุด เพื่อให้ลูกๆ รู้จักการสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีสุดวินเทจ เพื่อให้ลูกรู้จักการจัดระบบหนังสือเป็นหมวดหมู่ต่างๆ และสร้างความคุ้นเคยกับการเข้าห้องสมุด ช่วงท้ายของวันพ่อแม่อาจชวนลูกคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากหนังสือที่ค้นคว้า เพื่อกระตุ้นให้ลูกฝึกคิดวิเคราะห์ไปด้วยในตัว
7. ฝึกอ่านแผนที่
เพื่อให้เดินทางได้ในหลายสถานที่เด็กยุคใหม่อาจไม่รู้จักแผนที่ที่พิมพ์ลงบนกระดาษ เพราะอาจจะถนัดดูแผนที่แบบมี Navigator อัตโนมัติบนโทรศัพท์มือถือที่แสนสะดวกสบาย แต่หากต้องเดินทางแคมปิ้ง หรือหลงทางในที่ที่สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึง หรือทำโทรศัพท์หาย ทักษะการอ่านแผนที่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง พ่อแม่อาจหาแผนที่ของเขตหรือเมืองที่อาศัยอยู่ และสอนลัญลักษณ์สำคัญในแผนที่ให้ลูกรู้จัก จากนั้นอาจจัดทริป 1 วัน เพื่อเดินเท้าท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญใกล้บ้านโดยไม่เปิดแผนที่ในโทรศัพท์ แต่ใช้แผนที่กระดาษแทน นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้ฝึกอ่านแผนที่แบบมีเป้าหมายอีกด้วย
8. ฝึกว่ายน้ำให้ชำนาญ ป้องกันอุบัติเหตุ
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เรามักจะเห็นตามข่าวในช่วงปิดเทอม เกี่ยวกับอุบัติเหตุเด็กจมน้ำเสียชีวิต ดังนั้น การสนับสนุนให้ลูกเรียนว่ายน้ำจึงจำเป็นต่อทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำหากเกิดเหตุสุดวิสัย การให้ลูกเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ยังเด็ก จะช่วยฝึกทักษะการว่ายน้ำที่ถูกต้องแต่ตั้งก้าวแรก ทั้งท่าทางการว่าย การตีขา การลอยตัว การฝึกหายใจใต้น้ำ เพื่อลูกจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เบื้องต้นหากเกิดอุบัติเหตุ
9. หลอดกระปุก เก็บออมเงินทอง
ทักษะการเก็บออมเงินไม่เคยเก่าหรือตกยุคไม่ว่าจะผ่านไปกี่สมัย พ่อแม่จึงควรสอนให้ลูกแบ่งสรรปันส่วนค่าขนมหากใช้ไม่หมด และแบ่งส่วนที่จะเก็บออมระยะยาวไว้กับธนาคาร เพราะการประหยัดเงินและเก็บออมทีละเล็กทีละน้อยทุกสัปดาห์ และกลายเป็นเงินออมก้อนใหญ่ที่ทบทวีคูณในอนาคต ถือเป็นการสนับสนุนให้ลูกสะสมนิสัยการออมที่ดี เพื่อให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีอิสรภาพทางการเงิน รวมถึงเรียนรู้ค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ของตัวเอง
10. รู้รอบ เรื่องโภชนาการ
อาหารและโภชนาการทำให้ร่างกายและสมองของลูกเติบโต ดังนั้น พ่อแม่จึงควรให้ความรู้เรื่องโภชนาการพื้นฐานแก่ลูก โดยสอนเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลด ละ เลิก ขนมกรุบกรอบและเครื่องดื่มอัดลมน้ำตาลสูง พ่อแม่อาจแสดงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และความรู้เรื่องโภชนาการผ่านมื้อเช้าที่รับประทานร่วมกันในครอบครัว จากนั้นก็เล่าเรื่องสารอาหารที่ลูกกำลังจะรับประทานเข้าไป และอาจเพิ่มผักผลไม้เข้ามาในมื้ออาหารเสมอ เพื่อสร้างนิสัยให้ลูกรักกินผัก
อ้างอิง
- https://www.moms.com/old-fashioned-skills-kids-today/?
- https://halfwayhomesteaders.com/skills-modern-kids-need/
- https://www.simplelifeofacountrywife.com/18-old-fashioned-skills-kids-should-learn/