ในยุคที่หลายๆ ฝ่ายในประเทศไทยช่วยกันรณรงค์ให้เยาวชนรักการอ่าน ถือได้ว่าได้ปลุกกระแสแห่งจิตสำนึกของคนกลุ่มหนึ่งให้ลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้กันอย่างจริงจังซึ่งหวังจะให้การรักการอ่านหนังสือของเยาวชนไทยนั้นได้ฝังลงไปในจิตสำนึกของเด็กแต่ละคนให้ได้
บริเวณห้อง Learning Auditorium อุทยานการเรียนรู้ TK park บ่ายวันที่ 3 เมษายน 2554 การเสวนาเชิงวิชาการได้เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันข้อมูลเรื่องการนำหนังสือสู่เด็กและการนำเด็กสู่หนังสือจากประสบการณ์ของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 ท่าน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการจากโรงเรียนต่างๆ 3 โรงเรียน ท่านแรก ผอ.ประทิน พรหมคีรี จากโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน ท่านที่สอง ผอ.ณิภารัตน์ เลิศอริยกฤต จากโรงเรียนสามเสนนอก ท่านที่สาม ผอ.วีรวรรณ ยุทธนากรชัย จากโรงเรียนวัดสีสุก ซึ่งทั้งสามโรงเรียนนี้ล้วนเป็นโรงเรียนที่ได้รับรางวัลโรงเรียนรักการอ่านยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ส่วนท่านที่สี่คือ คุณมาสวิมล รักบ้านเกิด รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำเนินการเสวนาโดย พี่ปอง - คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก
ผอ.ประทินเดินชมนิทรรศการของแต่ละโรงเรียน
โดยหลังจากที่มีการกล่าวเปิดงานเสร็จสิ้น คุณเรืองศักดิ์พิธีกรของเราก็เริ่มเข้าเนื้อหาทันทีโดยการตั้งประเด็นและให้ท่าน ผอ. แต่ละท่านได้แสดงความคิดเห็นตามแต่ละประเด็นที่ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาซึ่งลักษณะของการตอบของแต่ละท่านก็แตกต่างกันไปในแต่ละแง่มุม แต่ไม่ว่ารายละเอียดจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท่านเหล่านี้กล่าวเหมือนกันคือ “การที่เราจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เด็กนักเรียนได้นั้น จะต้องเริ่มจากตัวของเราเองก่อน ในที่นี้ก็คือ ครูอาจารย์ทั้งหลายจะต้องมีนิสัยรักการอ่านฝังอยู่ในจิตใจของตัวเองก่อน จึงจะสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้สู่จิตใจของนักเรียนในความดูแลของตนได้”
ผอ.นิภารัตน์ ฟังอย่างตั้งใจ
จากงานเสวนาในครั้งนี้จะพบว่าการที่จะทำให้การปลูกฝังนิสัยการรักการอ่านเข้าสู่จิตใจของทั้งองค์กรได้นั้นจะต้องเริ่มจากการที่ “หัว” ขององค์กรนั้นๆ ต้องมีนิสัยรักการอ่านติดตัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิมจึงจะสามารถเข้าถึงจิตใจและเข้าถึงความรู้สึก เห็นความสำคัญรวมไปถึงประโยชน์ของการอ่านที่มีมากมายมหาศาลได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งจะทำให้มีแรงกายแรงใจ ที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในระหว่างการดำเนินการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้เข้าไปสู่จิตใจของคนในองค์กรของตนในแต่ละลำดับได้อย่างแน่นหนามั่นคง ดังคำที่ ผอ.ประทิน พรหมคีรี ได้กล่าวไว้ว่า “หัวส่าย หางกระดิก” ซึ่งอาจจะฟังดูธรรมดา แต่แน่นอนว่า ผอ. ทั้งสามโรงเรียนที่มาร่วมเสวนาในครั้งนี้ท่านเห็นด้วยและนำไปปฏิบัติเหมือนๆ กัน จึงสามารถประสบความสำเร็จในการเป็น “โรงเรียนส่งเสริมการรักการอ่านยอดเยี่ยม” ในปัจจุบันนี้ ส่วนจะมีวิธีการหรือแผนการและขั้นตอนการปฏิบัติแตกต่างกันอย่างไรนั้นขออนุญาตไม่กล่าวถึง แต่คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป ได้สรุปไว้ส่วนหนึ่งว่า “แน่นอนว่าคนเราแต่ละคนนั้นนิสัยใจคอย่อมแตกต่างกันไป การที่จะใช้วิธีอะไรนั้นก็ต้องดัดแปลงไปให้เหมาะกับ “จริต” ของแต่ละที่และแต่ละคนไป”
สิ่งสำคัญที่สุด คือ สถาบันการศึกษาทุกๆ แห่งควรจะเร่งปลูกฝังนิสัยการรักการอ่านให้เข้าสู่จิตใจของครูอาจารย์และนักเรียนทุกคน เพราะหนังสือนั้นเปรียบเสมือนการย่อโลกทั้งใบมาไว้ในมือเรา เปรียบเสมือนการได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวเสียเวลาไปลองผิดลองถูก แต่ในปัจจุบันถือว่าการรณรงค์ให้เยาวชนไทยรักการอ่านนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะจากสถิติที่ผ่านมาน ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นมาให้เราได้รับรู้ รับทราบก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเท่าไรนัก เรายังคงตามประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม สิงค์โปร์ ลาว หรือแม้กระทั่งเกาหลี ที่เยาวชนไทยกำลัง “เห่อ” กันในปัจจุบันนี้ ใครจะรู้บ้างว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเกาหลีใต้ยังตามเราชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่ในปัจจุบันนี้ทำไมเขาถึงแซงเราได้อย่างรวดเร็ว เชื่อว่าส่วนหนึ่งต้องมาจากการอ่านอย่างแน่นอน
ผอ.วีรวรรณ ตรวจงานบรรณรักษ์ก่อนงานเริ่ม
อาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ เก็บข้อมูลกันอย่างตั้งใจ
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้สถาบันการศึกษาทุกแห่งและครูอาจารย์ทุกท่านที่กำลังใช้ความพยายามอย่างทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจในการที่จะปลูกฝัง “นิสัยการรักการอ่าน” เข้าสู่จิตใจของลูกหลาน “ไทย” ทุกคนให้ได้ หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนก็ตาม ดังเช่นที่ท่านผู้อำนวยการทั้งสามโรงเรียนนี้ได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว ด้วยการทำอย่างประสบความสำเร็จทั้งในระดับองค์กรคือทุกคนในโรงเรียน (แม้กระทั่งภารโรง) และในระดับชุมชนที่ท่านทั้งหลายได้มีการ “บูรณาการ” ด้วยการขยายโครงการนี้ลงไปสู่สังคมชุมชนรอบๆ โรงเรียน และสังคมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี และขอขอบคุณแม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ของชาติทุกท่าน และขอเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน “การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน” ให้เข้าสู่หัวใจคนไทย ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับ “สังคมไทย” ต่อไปในอนาคต
นางสาวจันทร์จ้า