นวนิยายไซไฟ-แฟนตาซีน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านของนักอ่านชาว TK Park หลายคน เพราะเต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนตื่นเต้นเร้าใจ ตัวละครผู้มีพลังวิเศษและการผจญภัยในดินแดนเหนือจินตนาการ หรือเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่นำพาผู้อ่านไปเปิดมุมมองใหม่ๆ ได้ทั้งสาระและบันเทิง
วันนี้ TK Park รวบรวมหนังสือไซไฟ-แฟนตาซี 8 เล่มสุดฮิตที่มียอดการยืมร้อนแรง เพราะบางเล่มกำลังจะสร้างเป็นภาพยนตร์ บ้างเป็นซีรีส์ชื่อดัง บ้างเป็นผลงานสุดฮิตของผู้เขียนคนเดียวกันกับซีรีส์หรือภาพยนตร์เหล่านั้น จะมีเล่มไหนบ้างไปดูกันเลย ขอบอกอีกนิดว่าเล่มที่เรารวบรวมมาทั้งหมด อ่านได้บนแอปพลิเคชัน Libby by Overdrive
1. Dune ผู้เขียน Frank Herbert
อีกไม่นาน Dune เรื่องราวมหากาพย์สงครามอวกาศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น The Lord of the Rings แห่งแวดวงนิยายไซ-ไฟ ฝีมือการสร้างครั้งใหม่ของ เดอนี วีลเนิฟว์ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสมากฝีมือที่เคยฝากผลงานภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังไว้อย่าง Arrival และ Blade Runner 2049 ก็จะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีตลอดกาลอย่าง ดูน (Dune) นิยายไซไฟอมตะ เขียนโดย แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1965 และได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายไซไฟเล่มสำคัญของโลกมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างไซไฟ แฟนตาซี ดราม่า การเมือง และการหักเหลี่ยมเฉือนคมของตัวละคร โดยได้รับรางวัล Hugo Award และ Nebula Award สาขานิยายยอดเยี่ยมตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรก และถูกสร้างเป็นสื่ออื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์หลายต่อหลายครั้ง
ดูน (Dune) หมายถึงสันทรายหรือเนินทราย อันเป็นภูมิประเทศสำคัญของดาวอาร์ราคิส ซึ่งเป็นดาวที่มีแต่พายุทรายหฤโหดและสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ ทว่าท่ามกลางโหดร้ายของดวงดาว ก็ยังมีทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาลอย่าง “สไปซ์” ซึ่งจะบันดาลพลังพิเศษให้แก่ผู้ครอบครองอยู่เต็มดวงดาวอาร์ราคิส ดยุคเลโท อะเทรดีส เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ได้รับบัญชาให้มาปกครองดวงดาวแห่งนี้ แต่เขารู้ว่านี่เป็นแผนร้ายของศัตรูคู่แค้นที่ต้องการกำจัดเขา ขณะที่พอล อะเทรดีส บุตรชายวัย 15 ปีของดยุคเลโทก็ค้นพบว่าตนเองมีพลังพิเศษและโชคชะตาที่จะเปลี่ยนแปลงจักรวาล ท่ามกลางแผนร้ายที่อาจทำให้ตระกูลของเขาสูญสิ้น เขาจะเอาตัวรอดและปกป้องครอบครัวได้อย่างไร จะหยุดยั้งสงครามแห่งดวงดาวได้หรือไม่ รอให้ผู้อ่านได้ร่วมผจญภัยไปกับเขาในหน้ากระดาษของอีบุ๊กแล้ว แอบกระซิบดังๆ ว่าตอนนี้เล่มนี้กำลังฮิตติดเทรนด์ กดจองช้าไม่ได้อ่านก่อนภาพยนตร์ฉายนะ
2. Project Hail Mary ผู้เขียน Andy Weir
หากคุณเคยชื่นชอบภาพยนตร์เรื่อง “The Martian” การผจญภัยเอาชีวิตรอดของชายผู้พลัดหลงอยู่ในดาวอังคาร เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์-อวกาศซึ่งเป็นดินแดนลี้ลับที่มนุษย์น้อยคนจะได้สัมผัส ภาพยนตร์ดัดแปลงจากผลงานของแอนดี เวียร์ นักเขียนนวนิยายไซไฟอวกาศมือฉมัง วันนี้เขามีการผจญภัยในอวกาศครั้งใหม่มานำเสนอ ใน “Project Hail Mary” ซึ่งใช้เวลาวางขายเพียงไม่นานก็ไต่ขึ้นไปเป็นเบสต์เซลเลอร์ของหมวดหมู่นวนิยายไซไฟ ล่าสุดได้ประกาศสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยได้ดาราเจ้าบทบาทอย่างไรอัน กลอสซิง รับบทเป็นตัวเอกผู้พลัดหลงไปในห้วงอวกาศอีกครั้ง
Project Hail Mary เป็นชื่อโครงการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าแสงจากดวงอาทิตย์เริ่มหรี่ลง ซึ่งอาจจะทำให้โลกกลับไปสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง โดยสาเหตุคือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวชื่อว่า "แอสโทรฟาจ" ซึ่งเป็นตัวการดูดซับปริมาณแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงลงมาถึงโลก แต่ขณะเดียวกันตัวของมันเองกลับสามารถสังเคราะห์คาร์บอนไดออกไซด์เพื่อปล่อยพลังงานแสงออกมาได้อย่างมหาศาล แอสโทรฟาจจึงเป็นทั้งมหันตภัยและเชื้อเพลิงที่จะพามนุษย์ไปสู่การเดินทางข้ามดวงดาวเพื่อช่วยเหลือโลก โดยเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้คือดาวฤกษ์ดวงหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านการรุกรานของแอสโทรฟาจได้ ทว่าอยู่ในเอกภพ Tau Ceti อันไกลโพ้น ด้วยเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน ทำได้เพียงส่งนักบินอวกาศออกไปเก็บข้อมูลเพื่อกอบกู้โลกด้วยตั๋วเที่ยวเดียวเท่านั้น
ไรแลนด์ เกรซ อดีตนักชีววิทยาโมเลกุลที่ผันตัวมาเป็นครูวิทยาศาสตร์ได้บังเอิญเข้าร่วมในโครงการอย่างไม่เต็มใจนัก กลับกลายเป็นคนเดียวที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนานโดยสูญเสียความทรงจำทั้งหมด เขาพบว่าลูกเรือทั้งหมดของยาน Hail Mary เสียชีวิตทั้งหมด ส่วนยานลอยอยู่ท่ามกลางเอกภพที่เขายังไม่รู้จัก โชคดีที่เกรซสูญเสียเฉพาะความทรงจำ แต่ทักษะการเอาชีวิตรอดในอวกาศยังคงมีอย่างเต็มเปี่ยม ท่ามกลางห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง เกรซจะต้องค้นหาตัวเองให้พบว่าเขาเป็นใครและเขามาที่นี่เพื่ออะไร เพราะเขาคือเพียงความหวังเดียวในการกอบกู้มนุษยชาติ
แอนดี เวียร์ ยังคงทำสิ่งที่ถนัดคือการสอดแทรกความรู้ทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ โดยเฉพาะเรื่องการเอาตัวรอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่คุ้นเคย พล็อตเรื่องที่น่าตื่นเต้นและคาดเดาไม่ได้ ตัวละคร “เอเลี่ยน” ที่ไม่ได้รับบทตัวร้าย แต่เป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ที่ซาบซึ้งและชวนให้การเดินทางอันตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงบ้าง การเดินทางในอวกาศของเกรซจึงมิใช่เพียงแค่การทำเพื่อมนุษยชาติ แต่เป็นเรื่องราวของความกล้าหาญ มิตรภาพ และการค้นพบตัวเองในที่สุด คอหนังสือไซไฟและแฟนภาพยนตร์จาก The Martian ไม่ควรพลาด
3. Klara and the Sun ผู้เขียน Kazuo Ishiguro
ผลงานเล่มใหม่ล่าสุดของคาซุโอะ อิชิกุโระ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2017 จากผลงานที่โด่งดังที่สุดอย่าง Never Let Me Go เล่มนี้กลับมาในแนวไซไฟเชิงจิตวิทยาที่ชวนให้ผู้อ่านเสียน้ำตาอีกครั้ง
Klara and the Sun เล่าถึงเรื่องราวในอนาคตที่หุ่นยนต์ A.I. มีการพัฒนามากขึ้นจนสามารถเป็น “เพื่อน” กับมนุษย์ได้ หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกเรียกว่า Artificial Friend (A.F.) ไม่ว่าใครในโลกอนาคตก็สามารถที่จะ “ซื้อ” มิตรภาพในแบบที่ตนเองต้องการได้ จนกระทั่ง “โจซี่” เด็กสาววัย 14 ปีที่ป่วยไข้อย่างเป็นปริศนาได้มารับ “คลาร่า” หุ่นยนต์ A.F. ช่างคิดช่างรู้สึกเข้าไปอยู่ในครอบครัวซึ่งมีผู้คนและเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแม่ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับโจซี่นัก หรือริค แฟนของโจซี่ซึ่งมีปัญหาเรื่อง “ชนชั้น” ทำให้เขาไม่มีสิทธิบางอย่างมากเท่าโจซี่ โจซี่พยายามที่จะเก็บความสัมพันธ์เหล่านี้ไว้ คลาร่าจึงต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนในการช่วยเหลือให้โจซี่ข้ามผ่านปัญหาในชีวิตไปให้ได้
ทว่าความผูกพันที่เกิดขึ้นกลับทำให้คลาร่าเกิดความรู้สึกว่าได้เป็น "เพื่อน" กับมนุษย์จริง ๆ แต่สุดท้ายแล้วหุ่นยนต์จะมี "ความรู้สึก" ที่แท้จริงได้หรือไม่ สำหรับโจซี่แล้ว แม้จะไม่เป็นที่ต้องการในบางครั้ง แต่ก็ยังโชคดีที่มีคลาร่าคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่ใครล่ะจะดูแลคลาร่าหากเธอไม่ต้องการอีกต่อไป “แสงอาทิตย์” ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของคลาร่า ยังเพียงพออยู่ไหมที่จะทำให้หัวใจของเธอยังคงเต้นอยู่ในจังหวะเดิม ไม่ว่าทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
แม้ว่าประเด็นเกี่ยวกับ “ความรู้สึก” ของหุ่นยนต์ในนวนิยายไซไฟจะเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง A.I. ที่ฉายในปี 2001 ทว่าด้วยฝีมือของอิชิกุโระ แม้จะเป็นประเด็นเดิมก็สามารถเนรมิตให้เกิดเรื่องราวสดใหม่ได้ การใช้สัญลักษณ์ระหว่างหุ่นยนต์ แสงอาทิตย์ กับมนุษย์ การเล่นกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับเครื่องจักร ชวนให้ผู้อ่านที่ชื่นชอบในนวนิยายแนวไซไฟ-ดรามาได้เอาใจช่วยหุ่นยนต์ช่างคิดคนนี้ให้ได้พบกับความสุขที่ปรารถนา
4. Six of Crows ผู้เขียน Leigh Bardugo
หากใครเป็นแฟนซีรีส์ Shadow and Bone ตำนานกรีชา ที่กำลังโด่งดังในเน็ตฟลิกซ์ จนได้รับการยกย่องให้เป็นซีรีส์ทายาทของ Game of Throne ฉบับ Young Adult (Y.A.) คงจะอยากรู้ว่าลีห์ บาร์ดูโก นักเขียนลูกครึ่งชาวอเมริกัน-อิสราเอล ผู้รังสรรค์นิยายแฟนตาซี Y.A. เปี่ยมคุณภาพมากมายมีผลงานอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง อีกผลงานหนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้ตำนานกรีชาคือ Six of Crows ซึ่งเป็นเรื่องราวของคาส เบรกเกอร์ ผู้มีฉายา “มือทมิฬ” (Dirtyhands) เพราะไม่มีงานใดที่จะสกปรกมากไปกว่ามือของเขาซึ่งพร้อมจะรับทำทุกงานไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด แต่เขากลับถูกลักพาตัวไปโดยกลุ่มบุคคลปริศนาเพื่อมอบหมายภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ คือการปล้นสถานที่ลับในแคทเทอร์ดัม เมืองแห่งการค้าซึ่งซุกซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ แต่แม้จะได้ฉายามือทมิฬ ก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ จึงนำมาสู่การรวมทีมกันของ “อีกา” หรือจอมโจรทั้ง 6 คนที่ต้องมาร่วมกันทำภารกิจ “ปล้นเหนือเมฆ” นี้ให้สำเร็จ
Six of Crows เต็มไปด้วยตัวละครที่มีสีสัน โดยเฉพาะกลุ่มของจอมโจรทั้งหก ตัวเอกอย่างมือทมิฬเปี่ยมด้วยไหวพริบฉลาดแกมโกง เป็นผู้ร้ายที่ทุกคนหลงรักคล้ายกับโรบินฮูด หรือฮาน โซโล นอกจากนั้นยังมีสายลับ นักฆ่า พลแม่นปืน ที่แม้แต่หัวหน้าทีมอย่างมือทมิฬก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะฆ่ากันเองก่อนภารกิจสำเร็จหรือไม่ แถมด้วยกลิ่นอายการหักเหลี่ยมเฉือนคมคล้ายกับภาพยนตร์ Ocean’s Eleven ที่จะพาผู้อ่านไปสู่บทสรุปการปล้นที่เกินคาดเดา คนที่ชื่นชอบนวนิยายแฟนตาซี Y.A. ผจญภัยที่มีทั้งความสนุก ตลกขบขัน โศกนาฏกรรม การชิงไหวชิงพริบ ความซับซ้อนของปริศนา และการฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ไม่ควรพลาดเล่มนี้
5. The Fifth Season ผู้เขียน N.K. Jemisin
The Fifth Season หรือในชื่อแปลไทยว่า “ฤดูมรณะ” หนังสือแปลไซไฟแฟนตาซีเล่มใหม่ล่าสุดของสำนักพิมพ์ Salt ปฐมบทแห่งนิยายไซไฟแฟนตาซีไตรภาคชุด “กาลวิบัติ” (The Broken Earth series) ที่คว้ารางวัล Hugo Award และรางวัล Sputnik Award ทั้งยังถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัล Nebula Award และ World Fantasy Award ในสาขา Best Novel อีกด้วย
The Fifth Season เล่าถึงโลกในยุคที่ทวีปทั้งหมดเคลื่อนที่มารวมกันเป็นหนึ่ง จากนั้นก็เต็มไปด้วยภัยพิบัติและเรื่องราวประหลาด มี ‘โอเบลิสก์’ แท่งหินประหลาดลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย จนในที่สุดก็เกิดฤดูกาลที่ห้า (The Fifth Season) ซึ่งนำพาภัยพิบัติอย่างสุดขั้วมายังโลกนานนับทศวรรษ กวาดล้างอารยธรรมเก่าของมนุษย์จนหมดสิ้น
โลกเริ่มต้นอารยธรรมใหม่ มีมนุษย์ที่มีความสามารถในการควบคุมพลังจากผืนดินได้ซึ่งถูกเรียกว่า โอโรจิน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมความร้อนจากพื้นพิภพ หรือกระทั่งการหยุดแผ่นดินไหว แม้พลังวิเศษนี้จะเป็นที่หวาดกลัวและถูกรังเกียจ แต่ประชาชนก็ยังต้องพึ่งพลังของพวกเขาในการสยบภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนแผ่นดิน
‘เอสซุน’ โอโรจินที่มีภูมิหลังพิสดาร หลบซ่อนตัวมาใช้ชีวิตธรรมดาในหมู่บ้านเล็กๆ ทว่าสุดท้ายกลับเกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัวขึ้นเมื่อสามีของเธอสังหารลูกชายอย่างโหดเหี้ยม พร้อมกับลักพาตัวลูกสาวของเธอหนีไป เธอจึงออกเดินทางเพื่อตามหาลูกสาว ความหวังเดียวที่เธอเหลืออยู่ในชีวิต การเดินทางนำมาซึ่งการย้อนไปในอดีตอันดำมืดของเอสซุน พลังที่แท้จริงของโอโรจิน ความลับของเสาโอเบลิสก์ และโลกที่เต็มไปด้วยปริศนาท่ามกลางฤดูกาลที่ห้าที่กำลังจะเกิดขึ้น
เอ็น.เค.เจมิซิน นำเอาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลกมาเป็นแกนหลักของเรื่อง ผสานเรื่องราวของเวทย์มนต์ พลังพิเศษ จินตนาการเหนือชั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะสอดแทรกการเอาชีวิตรอด การกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ การเมือง เชื้อชาติ และสงคราม ราวกับเย้ยหยันว่าไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือความโหดร้ายในใจมนุษย์นั่นเอง หากใครชื่นชอบนวนิยายแนวดิสโทเปียแฟนตาซีสุดเข้มข้น เรื่องนี้ไม่ควรพลาดในการจับจองคิวอ่าน
6. Ready Player Two* ผู้เขียน Ernest Cline
(*มีให้บริการทั้งแบบอีบุ๊กและออดิโอบุ๊ก)
นวนิยายภาคต่อของ Ready Player One นวนิยายแอคชั่นไซไฟที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โลกอนาคตเมื่อปี 2018 จากฝีมือของพ่อมดแห่งฮอลลีวูดอย่างสตีเฟน สปีลเบิร์ก ซึ่งกวาดรายได้ไปกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และทำให้แฟนภาพยนตร์ติดตามภาคต่อของเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ ส่วนนักอ่านไม่ต้องรอนาน เพราะผู้เขียน เออร์เนสต์ คลินต์ ได้สานต่อเรื่องราวของเทคโนโลยีโลกเสมือนจากภาคที่แล้วในมุมมองใหม่ที่มีมิติลึกซึ้งกว่าเดิม
ย้อนกลับไปในภาคแรกอย่างคร่าวๆ โลกยุคอนาคตปี 2045 ที่ผู้คนสิ้นหวังในโลกจริงอันโหดร้าย จึงทำให้โลกเสมือนสุดยิ่งใหญ่ชื่อ ดิ โอเอซิส เป็นเหมือนสถานที่หลบภัยในจินตนาการ ทว่าใน ดิ โอเอซิส กลับแอบซ่อนกุญแจ 3 ดอกเอาไว้ ผู้ที่ตามหามันได้ทั้งหมดจะได้ครอบครองทรัพย์สินและเทคโนโลยีโลกเสมือนทั้งหมดของเจมส์ ฮอลิเดย์ ผู้สร้างเทคโนโลยีนี้ หลังจากการต่อสู้ระหว่างตัวร้ายที่หวังจะครอบครองโลกเสมือนนี้กับทีมโนเนมจากย่านสลัม ก็ปรากฏว่า เวด วัตต์ เด็กหนุ่มจากย่านสลัมและทีมของเขากลับเป็นผู้เอาชนะเกมนี้และได้ครอบครองเทคโนโลยีโลกเสมือนของฮอลิเดย์ทั้งหมด
เรื่องราวของ Ready Player Two เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเวดได้ค้นพบเทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ในดิ โอเอซิส ชื่อว่า Oasis Neural Interface (ONI) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสมองกับภาพคอมพิวเตอร์ที่ฉายโลกของโอเอซิสซ้อนทับลงไปในเยื่อหุ้มสมองโดยตรง หมายความว่าผู้ใช้เทคโนโลยีนี้จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เพียงแค่ผ่านชุดหูฟังและระบบสัมผัส “เสมือนจริง” แต่จะรู้สึกราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิต เมื่อปล่อยเทคโนโลยีนี้ออกไปสู่โลก เวดก็กลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ของทุกคน ไม่ว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด “ความสุข” มาให้ตัวเองได้ทั้งสิ้น ทว่าสุดท้ายเทคโนโลยีนั้นกลับนำมาสู่ปัญหามากมาย และศัตรูร้ายตัวใหม่ที่อาจสังหารผู้คนนับล้านที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้ได้ในพริบตา
เออร์เนสต์ คลินต์ ยังคงความสนุกในแบบเล่มแรก และสอดแทรกวัฒนธรรมป๊อปในยุค 80-90s เอาไว้ในเรื่องอย่างไม่ตกหล่น ขณะเดียวกันก็พาผู้อ่านเข้าไปสำรวจเรื่องราวของโลกเสมือนจริงและตั้งคำถามเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้งขึ้นจากเล่มที่แล้ว หากมนุษย์ได้ครอบครองอำนาจสรรค์สร้างทุกสิ่งให้เกิดขึ้นอย่างพระเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่แต่เพียงโลกเสมือน เขาจะเลือกใช้อำนาจนั้นในทางใด เหตุผลใดที่ทำให้ฮอลิเดย์ผู้สร้างเทคโนโลยีแห่งพระเจ้าไม่เคยนำเทคโนโลยีนี้ออกมาใช้จริง โลกที่เคยสิ้นหวังในปี 2045 จะกลับกลายเป็นดินแดนยูโทเปียจากเทคโนโลยีของเขาอย่างที่ตัวละครเอกหวังไว้ หรือกลับกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ รอให้ผู้อ่านมาร่วมลุ้นไปกับเทคโนโลยีใหม่นี้ไปด้วยกันว่าจะนำโลกไปสู่ตอนจบแบบใด
7. Red Queen* ผู้เขียน Victoria Aveyard
(*มีให้บริการทั้งแบบอีบุ๊กและออดิโอบุ๊ก)
Red Queen หรือในชื่อภาษาไทยว่า ราชินีสีแดง ผลงาน Dystopian Young Adult ของวิกตอเรีย เอฟยาร์ด ที่ได้รับความนิยมสูงมากในต่างประเทศ การันตีความสนุกด้วยรางวัล Goodreads Choice Award for Debut Goodreads Author ในปี 2015
Red Queen เล่าถึงเรื่องราวของโลกที่มนุษย์มีเลือดสองสี กลุ่ม “เลือดสีเงิน” ผู้เกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติ ทำให้พวกเขามีอำนาจควบคุมและปกครองโลก ขณะที่กลุ่ม “เลือดสีแดง” ถูกจัดเป็นชนชั้นต่ำ ต้องเป็นผู้รับใช้ของบรรดาเลือดสีเงิน ต้องอาศัยอยู่ในดินแดนสลัม ถูกกดขี่ข่มเหงสารพัด แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านพลังของพวกเลือดสีเงินได้
เรื่องราวดำเนินไปเช่นนั้นจนกระทั่ง “แมร์ แบร์เยอร์” หญิงสาวชาวสลัมผู้มีเลือดสีแดง ที่บังเอิญได้พบกับ “คาล” เจ้าชายสีเงินผู้เป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์ คาลเกิดความเห็นใจแมร์จึงรับเข้าทำงานในพระราชวัง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หญิงสาวเลือดสีแดงได้แสดงพลังวิเศษต่อหน้าราชวงศ์ ซ้ำยังเป็นพลังที่เหนือกว่าพวกเลือดสีเงินอีกด้วย ทำให้เธอถูกปกปิดฐานะเดิม สวมหน้ากากของมารีนา ไททานอส หญิงสาวชนชั้นสูงเลือดสีเงินที่หายตัวไป
สุดท้ายเด็กสาวเลือดสีแดงที่อายุเพียง 17 ปี ก็ต้องมาพัวพันกับเรื่องราวการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจเก่า สงครามของสองสายเลือดเพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การทรยศ หักหลัง หลอกลวง หนำซ้ำหัวใจของเธอยังต้องมาพัวพันกับความรักสามเส้าของชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์สามคนที่เข้ามาในชีวิต สุดท้ายเธอจะต้องเลือกว่าจะทำตามหน้าที่หรือหัวใจ จะอยู่ฝ่ายเลือดสีเงินหรือเลือดสีแดง หรือเธอนั่นแหละที่จะเลือกลิขิตชะตาชีวิตในแบบของตัวเองเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลก รอให้ผู้อ่านมาติดตามบทสรุปสุดท้ายของราชินีสีแดงทั้งแบบ E-book และ Audio book
8. The Midnight Library* ผู้เขียน Matt Haig
(*มีให้บริการทั้งแบบอีบุ๊กและออดิโอบุ๊ก)
The Midnight Library หรือในชื่อภาษาไทยว่า มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน เรื่องราวอบอุ่นหัวใจของห้องสมุดลึกลับ ซึ่งเปิดรับทุกคนที่อยากจะมีโอกาสแก้ไขชีวิตที่ผ่านมา เช่นเดียวกับนอรา ซีด หญิงสาววัย 35 ปี ซึ่งเคยเป็นเด็กสาวที่มีความคิดทำนองว่า ฉันเคยคิดว่าจะเป็นบางสิ่ง ฉันเคยคิดว่าจะทำบางอย่างเต็มไปหมด แต่ทุกสิ่งที่เธออยากทำกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและเรื่องร้าย สุดท้ายเธอจึงใช้ชีวิตอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาจนถึงอายุสามสิบกลาง ๆ พลางคิดถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดในอดีตซึ่งส่งผลให้ความสุขในปัจจุบันแทบไม่เหลืออยู่ กระทั่งสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายในจิตใจคือเจ้าแมวน้อยแสนรักของเธอตายไป เธอจึงตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงอย่างโศกเศร้าในเวลาเที่ยงคืนของวันนั้น
แทนที่เธอจะลืมตาขึ้นมาในนรกหรือสวรรค์ แต่กลับได้มาพบ “ห้องสมุดเที่ยงคืน” ห้องสมุดลึกลับแห่งหนึ่งและได้พบกับมิสซิสเอมส์ บรรณารักษ์ห้องสมุดที่เธอสนิทในวัยเรียน เธอได้พบกับ “หนังสือแห่งความเศร้าเสียใจ” ซึ่งบันทึกทุกเรื่องราวที่เธอเคยเสียใจไว้ เรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามว่า “จะเป็นอย่างไรนะถ้า…”
มิสซิสเอมส์เสนอให้นอราได้ลองใช้ชีวิตอีกครั้ง ชีวิตที่จะไม่มีคำถามว่า “ถ้า..” และจะไม่เสียใจที่ได้เลือกทำ” แต่หากเธอยังคงผิดหวังอยู่ เธอก็จะได้กลับมาที่ห้องสมุดเที่ยงคืนเพื่อเลือกทางเลือกใหม่อีกครั้ง สุดท้ายในทุกการ “เลือกใหม่” เธอจะได้พบชีวิตที่ดีพร้อมแบบนั้นหรือไม่ ชีวิตที่มีแต่เรื่องดี ๆ และไม่ต้องเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้เลือกแล้ว
นวนิยาย “ฟีลกู๊ด” ที่ชวนให้ผู้อ่านกลับมาค้นหาความหมายของการใช้ชีวิต ผสมผสานด้วยเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ในเหตุการณ์มหัศจรรย์นี้ พร้อมด้วยปรัชญาคำคมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมากมาย การันตีคุณภาพด้วยรางวัล Best Fiction ของ Good read Choice Awards 2020 และได้รับการคัดเลือกใน A Good Morning America Book Club Pick เป็นอีกเล่มที่นักอ่านไซไฟสายฟีลกู๊ดไม่ควรพลาด
เป็นอย่างไรบ้างกับ 8 เล่มที่ TK Park คัดสรรมาให้ชาว TK ได้เปิดโลกไซไฟแฟนตาซีที่น่าตื่นตาตื่นใจ การผจญภัยในโลกใบใหม่ที่น่าค้นหา ทั้งในแบบโลกสดใส โลกสิ้นหวัง รักสามเส้า หรือจะแบบฟีลกู๊ดก็ไม่พลาดทุกอารมณ์ จะไปคุยกับนักอ่านที่ไหนก็เรียกได้ว่าไม่ตกเทรนด์ แถมยังได้ความรู้คู่ความบันเทิงอีกด้วย มีห้องสมุดออนไลน์ในมือแบบนี้ เก้าอี้ที่บ้านจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป อย่าลืมมาใช้บริการกันเยอะๆ นะ