ในเช้าวันเสาร์อันแสนสงบกลางเดือนกันยายน การจราจรบนถนนในเมืองยังคงโล่งสบาย แต่ที่ Fathom Bookspace ร้านหนังสือขนาดกะทัดรัดในซอยสวนพลู กลับคึกคักกว่าเช้าวันไหน สังเกตเห็นได้ตั้งแต่จากนอกบานกระจกใสหน้าร้าน เพราะทีมงานกำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมสถานที่สำหรับมนุษย์ตัวน้อยที่กำลังมาร่วมกิจกรรม Bookshop Creator 'Kids' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลการเรียนรู้กรุงเทพฯ Learning Fest Bangkok 2023
ใกล้เวลานัดหมาย 9 โมงเช้า มนุษย์เอ๊ะรุ่นจิ๋ววัย 6–8 ขวบจำนวน 12 คน ก็มากันพร้อมเพรียง และเมื่อได้บอกลามนุษย์ตัวใหญ่ที่พามาส่งเรียบร้อยแล้ว เด็ก ๆ จำนวนยกโหลก็ได้มาแนะนำตัวและฝากเนื้อฝากตัวกับสองกระบวนกรคนเก่ง พี่กุ๊กไก่—ขนิษฐา ธรรมปัญญา กระบวนกร นักอ่าน นักเล่น ผู้เป็นเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ กับพี่กิต – กิตติศักดิ์ แซ่หล่อ กระบวนกรและนักประดิษฐ์ของเล่น ก่อนจะพากันขึ้นไปยังพื้นที่จัดกิจกรรมบนชั้น 3
จากจินตนาการสู่การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์
ไม่รอช้า พี่กิตเริ่มเล่าถึงหนังสือเล่มโปรดของตัวเอง จากนั้นก็ชวนทุกคนเอ่ยถึงหนังสือที่ชื่นชอบกันคนละเล่ม เด็ก ๆ ยกมือแย่งกันตอบ มีทั้งบาบ้าปาป้า แฮร์รี่พอตเตอร์ วันพีซ โคนัน ฯลฯ และเมื่อแต่ละคนต่างนึกถึงหนังสือเล่มโปรดในใจกันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนมอบหมายภารกิจสำคัญ นั่นคือ การสวมบทบาทเป็นพนักงานเฉพาะกิจของร้าน Fathom Bookspace เพื่อออกแบบสิ่งประดิษฐ์ไว้ต้อนรับและดึงดูดลูกค้า
กระบวนการของภารกิจนี้ คือ ให้เด็ก ๆ สำรวจร้านหนังสือว่ามีจุดไหนที่ดูแล้วเอ๊ะ! เหมือนจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง แล้วแปลงความเอ๊ะนั้นให้กลายเป็นโจทย์ปัญหา เช่น เอ๊ะ? ลูกค้าอาจจะนึกไม่ออกว่าจะอ่านอะไรดี เอ๊ะ? ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มที่ตามหาอยู่ตรงไหน เอ๊ะ? เรื่องนี้จะสนุกหรือเปล่านะ หรือ เอ๊ะ? มีเรื่องไหนที่น่าอ่านบ้าง แล้วใช้จินตนาการต่อยอดเพื่อออกแบบสิ่งประดิษฐ์ โดยอาจนำเอาหนังสือเล่มโปรดของตัวเองเป็นตัวตั้ง มาสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้ร้านหนังสือแห่งนี้ตามสไตล์ของแต่ละคน
ภารกิจนี้ต้องจับคู่ร่วมมือกันทำ และเมื่อรับมอบภารกิจมาแล้ว เหล่ามนุษย์เอ๊ะรุ่นจิ๋วต่างพากันกลับลงมาที่ชั้นล่างเพื่อออกสำรวจร้าน ตามหามุมที่ตัวเองและคู่หูต่างพอใจให้พบแล้วไปรายงานกับพี่กุ๊กไก่ จากนั้นก็พาความเอ๊ะและไอเดียร้อยแปดที่ยังฟุ้ง ๆ ในหัว กลับไปยังฐานที่มั่นที่ชั้น 3 เพื่อไปตอบโจทย์ที่พี่กิตให้ไว้ว่า ‘อะไรที่ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาในร้านแล้วรู้สึกสนุก สบายใจ และมีความสุข’ จากนั้น เด็ก ๆ จะได้เริ่มทดลองประดิษฐ์สิ่งนั้นออกมา ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งกระดาษ กระดาษสี กระดาษแข็ง ดินสอ ปากกา สีไม้ สีชอล์ก สีเทียน กล่อง เทปกาว หนังยาง เชือก กรรไกร คัตเตอร์ กาว ฯลฯ ที่ทางร้านเตรียมรอไว้พร้อมแล้ว
สำหรับเด็กวัย 6–8 ขวบ งานศิลปะและการประดิษฐ์สิ่งของจุกจิกนับเป็นกิจกรรมที่เหมาะสม เพราะทำให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอย่างเต็มที่ ช่วยให้เด็กได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กในการตัด แปะ หรือพับสิ่งต่าง ๆ และยังเป็นการฝึกสมาธิ มีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ จนได้เห็นความพยายามของตัวเองกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ผนึกกำลัง...ระดมสมอง...สองหัวดีกว่าหัวเดียว
เมื่อภารกิจนี้เป็นงานคู่ ก็เปิดโอกาสให้มนุษย์ตัวน้อยเหล่านี้ต้องมาพูดคุยถามความคิดเห็นกันว่าจะประดิษฐ์อะไร ยังไงดี จากโจทย์ที่ได้ ปัญหาที่พบ อุปกรณ์ที่อยู่ตรงหน้า และเวลาที่มี ทีมงานสังเกตเห็นได้ชัดว่า เด็ก ๆ ใช้เวลาไม่นาน ก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน กล้าที่จะเสนอไอเดียของตัวเองอย่างอิสระเต็มที่ โดย พี่กิตกับพี่กุ๊กไก่นั้นจะไม่เข้าไปชี้นำความคิด แต่จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา คำแนะนำ และคอยช่วยเหลือเมื่อเด็ก ๆ ต้องการ
การที่นักจินตนาการเหล่านี้ต้องมาจับคู่กัน นอกจากจะเป็นการฝึกมนุษย์สัมพันธ์ สร้างมิตรภาพกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้กฎกติกาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมถึงได้รู้จักการแบ่งปัน และการเจรจาหาจุดสมดุลระหว่างตัวเองกับผู้อื่นเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งในระหว่างที่ทำกิจกรรม เด็ก ๆ ก็ได้แสดงทักษะการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การตัดสินใจ การทดลอง การลงมือทำ การพูดคุย การแก้ปัญหา และการอยู่ร่วมกัน และการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างที่ทีมงานคาดหวังไว้จริง ๆ
เมื่อผลงานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เราได้เห็นจินตนาการน่ารัก ๆ แสนไร้เดียงสาของเซมิกับเซโกะที่เนรมิตพื้นที่ใต้โต๊ะวางหนังสือกลางร้าน ให้กลายเป็น ศูนย์รับฝากจดหมายถึงตัวละครในหนังสือ ใครนึกอยากคุย หรือคิดถึงตัวละครไหนก็หย่อนจดหมายลงกล่องได้เลย หรือจะเป็น ทางเดินโดนัท ที่ต้นข้าวกับเอริกาช่วยกันวาดลงบนกระดาษกาวสีแล้วแปะที่พื้นเพื่อนำทางไปที่บันได เพื่อขึ้นไปยังมุมที่ทั้งคู่เลือกไว้บนชั้นลอย จนทำให้นึกถึงนิทานเรื่องบ้านขนมปังที่ฮันเซลแอบโรยเศษขนมปังหวังใช้นำทางพาตัวเองและเกรเทลกลับบ้าน
นอกจากนี้ ทีมงานยังต้องทึ่งกับความละเอียดรอบคอบของเด็ก ๆ ทั้งที่อยู่เพียงชั้นประถมศึกษา แต่กลับใส่ใจในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างน่าชื่นชม อย่างคู่สองพี่น้อง ฟิล์วและฟาร์ม ที่เป็นแฟนคลับวันพีซตัวยงกันทั้งคู่ จึงเลือกวาดหน้าลูฟี่ลงบนกระดาษแข็ง ซึ่งต้องช่วยกันแก้ปัญหาด่านแรกก่อน ด้วยการนำกระดาษขนาดเท่าที่มีมาต่อกันเพื่อให้ได้ขนาดหน้าลูฟี่ตามที่ต้องการ ก่อนจะเจอเข้ากับปัญหาที่สอง คือจากเดิมที่ตั้งใจว่าจะเจาะรูแล้วร้อยเชือก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าเป็นเชือกตึง พี่ ๆ ผู้ใหญ่อาจจะเล่นได้ไม่สะดวก จึงเปลี่ยนไปใช้หนังยางที่ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแทน
มุ่งมั่นสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
เด็ก ๆ แต่ละคู่ต่างง่วนอยู่กับสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองด้วยความความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งที่คิดไว้ให้สำเร็จให้ได้ โดยไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาหรืออุปสรรคที่เจอ คู่ของธรรมกับณนญเลือกประดิษฐ์วงล้อหลากสี ซึ่งในวงล้อจะแบ่งเป็นช่อง ๆ แต่ละช่องจะแปะชื่อหนังสือเล่มโปรดและหนังสือที่น่าอ่านเอาไว้ ทำให้ทั้งคู่ต้องออกล่ารายชื่อให้ได้หนังสือมากถึง 14 เรื่อง ซึ่งมากกว่าที่คู่อื่น ๆ นำมาใช้ถึง 3 เท่า!
ตลอดกิจกรรม ทั้งคู่ไม่มีท่าทีงอแง ยอมแพ้ หรือล้มเลิกไอเดียที่ตั้งในไว้ ภาพณนญกำลังแปะกระดาษสีต่าง ๆ ลงบนกงล้อวงกลมขนาดใหญ่ ส่วนธรรมก็ขลุกอยู่ที่ตู้หนังสือบนชั้นลอย ซึ่งเป็นหนังสือสะสมที่ทางร้านใจดีให้ลูกค้าหยิบอ่านได้ ธรรมใช้เวลาอยู่สักพักในการตั้งใจคัดสรรหนังสือจนครบ 14 เล่มในที่สุด
ประเด็นสำคัญที่น่าชมเชย คือเด็ก ๆ ยอมรับในกติกาที่พี่กิตกับพี่กุ๊กไก่กำหนดเวลาไว้ ทุกคนสามารถบริหารจัดการเวลาได้อย่างดี ทำให้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากแยกกับผู้ปกครองที่มาส่ง มนุษย์เอ๊ะรุ่นจิ๋วของเราช่วยกันทำสิ่งประดิษฐ์จนสำเร็จทุกคู่ และพร้อมที่จะรอต้อนรับลูกค้ากลุ่มแรก ซึ่งก็คือเหล่าผู้ปกครองที่ใกล้ถึงเวลามารอรับเด็ก ๆ นั่นเอง
โลกแห่งการอ่าน ประตูสู่การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
แล้วก็ถึงเวลาสวมบทบาททำหน้าที่พนักงานพิเศษต้อนรับลูกค้ากิตติมศักดิ์กันแล้ว พี่กิตกับพี่กุ๊กไก่ให้เด็ก ๆ พาผู้ปกครองไปรวมตัวกันที่ชั้นลอย แล้วให้เด็ก ๆ ได้ทบทวนโจทย์ของภารกิจวันนี้อีกครั้ง จากนั้นจึงให้ยกขบวนกันลงมาดูสิ่งประดิษฐ์แต่ละชิ้น ไล่ไปทีละคู่ เมื่อถึงชิ้นของตัวเอง เด็ก ๆ ก็จะส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกเล่าคอนเซ็ปต์ ไอเดีย และคะยั้นคะยอให้ผู้ปกครองทดลองเล่นดู ปรากฏเป็นภาพการบริการที่น่ารักน่าสนุกระหว่างพนักงานร้านหนังสือตัวน้อยกับลูกค้าตัวใหญ่
กิจกรรมในครั้งนี้ตั้งใจจัดขึ้นในร้านหนังสืออิสระ หนึ่งในสถานที่เป้าหมายของ TK Park เพื่อมุ่งสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้บนพื้นที่ที่แตกต่าง ผลักดันกระบวนการสร้างเสริมทักษะที่ครบครัน และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เกิดเป็นความสงสัยและการทดลองใหม่ ๆ ให้เหล่ามนุษย์เอ๊ะทุกเพศทุกวัย
ผลลัพธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือการที่เด็กหลายคนได้ทำความคุ้นเคยกับร้านหนังสือ ได้เพลิดเพลินกับการหยิบหนังสือมาเปิด เลือกเล่มที่ชอบมาอ่าน และได้เข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง จดจ่อและมีสมาธิกับการอ่านหนังสือ เพราะท่ามกลางความท้าทายของโลกใบใหญ่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของผู้คน การปลูกฝังการอ่านหนังสือเป็นเล่ม ๆ ในพื้นที่สงบอย่างเรียบง่ายอาจเป็นสิ่งที่หาโอกาสทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่อย่างน้อยในวันนี้ มีมนุษย์ตัวจิ๋วได้เริ่มสะสมเทคนิควิธีดึงดูดผู้คนเข้าร้านหนังสือแล้วถึง 12 คนทีเดียว!