“เราไม่ได้รักใครง่ายๆ อย่างที่นายคิดนะ”
ป้อน - โลกทั้งใบให้นายคนเดียว
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 14.00 น. ณ ห้องมินิเธียร์เตอร์ 1 อุทยานการเรียนรู้ TK park ร่วมกับหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ส่งท้ายเดือนแห่งความรักด้วยการจัดฉายภาพยนตร์เรื่อง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” หนังรักวัยรุ่นสุดซึ้งที่เคยโด่งดังแบบสุดๆ เมื่อ 17 ปีก่อน (พ.ศ. 2538) พร้อมกิจกรรมเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกูรูผู้เชี่ยวชาญในวงการภาพยนตร์หลังฉายหนังจบ
![00083e.jpg](../../stocks/extra/000ea8.jpg)
ป้ายชวนชมหน้าห้องมินิเธียร์เตอร์ 1
“โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” (Romantic Blue) ภาพยนตร์เปิดตัวเรื่องแรกของค่าย RS Film ฝีมือการกำกับของ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล นำแสดงโดย เต๋า - สมชาย เข็มกลัด, นุ๊ก - สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา, โมทย์ - ปราโมทย์ แสงศร ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมืออย่าง รุจน์ รณภพ, เอ็ม - สุรศักดิ์ วงศ์ไทย และอรุณ ภาวิไล
ทันทีที่หนังเข้าฉายก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างสูง จนสามารถกวาดรายได้ไปถึง 55 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยในขณะนั้น นอกจากนี้ยังได้รับคำชมจากบรรดานักวิจารณ์ภาพยนตร์ว่าเป็นภาพยนตร์รักวัยรุ่นที่มีสาระและสะท้อนปัญหาสังคมได้ดี รวมทั้งมีการถ่ายทำและโปรดักชั่นที่ได้มาตรฐาน จนสามารถคว้ารางวัลทางภาพยนตร์ในปีนั้นมาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยคว้า 2 รางวัลจากการประกาศรางวัลพระสุรัสวดีหรือตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 27 ได้แก่ รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และกำกับภาพยอดเยี่ยม ก่อนจะมาคว้าอีก 8 รางวัลจากการประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ครั้งที่ 5 ได้แก่ รางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ ยอดเยี่ยม ลำดับภาพยอดเยี่ยม และกำกับภาพยอดเยี่ยม
เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้ทั้งเงินและกล่อง แม้แต่อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มวัยรุ่นขณะนั้น โดยมีเพลงฮิตที่วัยรุ่นทุกคนต้องร้องได้อย่าง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” และ “อยู่ที่เธอ”
“ต่างคนต่างพูดไม่ออก ได้แต่มองตาเท่านั้น รักที่ให้กัน เหมือนโดนกั้นขวางทางไป อย่าเลยอย่ารู้ว่าฉัน ขาดเธอจะเป็นอย่างไร แค่รู้ไว้ว่าโลกทั้งใบจะให้เธอคนเดียว”
![00083f.jpg](../../stocks/extra/000ea9.jpg)
จุดเริ่มต้นรักสามเส้า... ไม้ กับ ป้อน เจอกันครั้งแรก
ภาพยนตร์พาเราเข้าไปพบกับเรื่องราว ไม้ (สมชาย เข็มกลัด) และ เม่น (ปราโมทย์ แสงศร) สองพี่น้องที่หลงรักผู้หญิงคนเดียวกันอย่าง ป้อน (สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา) แต่เนื่องจากฐานะครอบครัวของไม้กับเม่น กำลังประสบปัญหากับค่ารักษาพยาบาลของพ่อ (รุจน์ รณภพ) ทำให้ไม้ต้องเข้าร่วมแก็งค์ขโมยรถของ โต (สุรศักดิ์ วงษ์ไทย) ตามคำแนะนำของ โบ้ (อรุณ ภาวิไล) ญาติพี่น้องของไม้ แต่หลังจากนั้นไม้ก็ต้องสูญเสียพ่อ และเม่นก็รับรู้ความจริงถึงความสัมพันธ์ของไม้กับป้อน จนไม้ต้องเจอปัญหาต่างๆ เข้ามามากมาย รวมถึงการถูกตามล่าของโต ไม้จึงต้องสะสางปัญหาต่างๆ ของเขา รวมถึงความรักระหว่างคนรอบข้างเขาอีกด้วย
![000840.jpg](../../stocks/extra/000eaa.jpg)
ฉากปะทะอารมณ์ระหว่าง ไม้ กับ เม่น สองพี่น้องที่รักผู้หญิงคนเดียวกัน
หลังจากฉายภาพยนตร์จบลงก็เข้าสู่ช่วงเสวนา โดยมีคุณชาญชนะ หอมทรัพย์ คอลัมนิสต์นิตยสาร Bioscope และตัวแทนจากหอภาพยนตร์แห่งชาติเป็นวิทยากร และคุณยุทธินัย ยั่งเจริญ หรือพี่ต้อง นักจัดการความรู้ ฝ่ายกิจกรรม อุทยานการเรียนรู้ TK park เป็นพิธีกรดำเนินการเสวนาในครั้งนี้
![000841.jpg](../../stocks/extra/000eab.jpg)
ช่วงเสวนาโดยคุณชาญชนะ หอมทรัพย์ (ซ้าย) และ พี่ต้อง - ยุทธินัย ยั่งเจริญ (ขวา)
คุณชาญชนะเริ่มต้นด้วยการบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของภาพยนตร์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” หนังวัยรุ่นสุดฮิตของค่าย RS Film ที่โด่งดังมากในยุคสิบกว่าปีที่แล้ว
“RS Film โตมากับยุคของหนังวัยรุ่นอย่างเรื่องกระโปรงบานขาสั้น, ฉลุย ซึ่งเป็นยุคหลัง ก่อนจะเข้าสู่ช่วงที่หนังไทยกำลัง down ลง ช่วงที่มีภาพยนตร์ “โลกทั้งใบฯ” เรียกได้ว่าเป็นยุค RS ครองเมือง เจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตลาดที่กว้างมาก และ RS เข้ามาได้ถูกจังหวะ อย่างผู้กำกับ เขาใช้ผู้กำกับที่ไม่ใช่รุ่นเก่า อย่างคุณราเชนทร์ เป็นผู้กำกับที่โตมาจากวงการ MV สไตล์ภาพก็จะคล้ายๆ MV ยุคเก่า ดูบิดๆ มีแสงมีเงา”
ส่วนพี่ต้อง ในฐานะผู้ชมคนหนึ่งที่เพิ่งเคยดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกกล่าวว่า พอดูจบแล้วทำให้นึกถึงภาพยนตร์ของค่าย GTH ในยุคแรกๆ ที่เอานักร้องมาเล่นหนัง ซึ่งคุณชาญชนะได้อธิบายในประเด็นนี้ว่า
“โมเดลการทำหนังในยุคนั้น ผมเข้าใจว่ามีจุดประสงค์หลักประการหนึ่ง คือ เพื่อส่งเสริมยอดขายเทป เลยมีการจับเอานักร้องมาเล่นหนังกันเยอะ อย่างตอนเจมส์ดัง ก็เล่นหนัง ลิฟท์กับออย ก็มีหนังปาฏิหาริย์โอมสมหวัง บางทีหนังอาจจะทำเงินไม่เยอะมาก แต่ตลาดหลักของวัยรุ่นยุคนั้นจริงๆ ก็คือ เทป พอหนังดัง เพลงประกอบภาพยนตร์ก็จะดังตามไปด้วย”
ส่วนภาพรวมของหนัง พี่ต้องชื่นชมผู้กำกับที่มีความใส่ใจ พิถีพิถันในรายละเอียดของการดำเนินเรื่อง และยังเป็นภาพยนตร์ที่มีครบทุกรสชาติภายในเรื่องเดียว
“ผมว่าเขาให้รายละเอียดได้ดีพอสมควรเลย เช่น ผมดูฉากแรกเอะใจเลย กับฉากที่โบ้สูบบุหรี่ แล้วในทีวีมีเสียงบรรยายว่า “วันนี้เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก...” มันล้อเลียนกันซึ่งผมว่าเขาคิดละเอียดนะ มุมกล้องก็ตั้งใจ คือดูแล้วเป็นหนังที่ใช้ได้เลย เพลงมาได้จังหวะดีทุกครั้ง แล้วหนังเรื่องนี้ก็มีความแตกต่างจากหนังวัยรุ่นยุคนั้น อย่างกระโปรงขาสั้นจะเน้นฮาๆ แต่เรื่องนี้ได้ทุกรส แรกๆ ก็ใสหน่อย ต่อมาก็ดราม่า แล้วก็มาแอ็คชั่น หนังสมัยนี้หายากนะที่จะมีทั้งดราม่า แอ็คชั่น แล้วก็ตลกปนกัน แถมยังพูดเรื่องชีวิตวัยรุ่นด้วย”
หลายคนคงสงสัยว่าในเมื่อเทรนด์หนังวัยรุ่นยุคนั้นเป็นมาแนววัยรุ่นใสๆ มาโดยตลอด แล้วเหตุใด “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ถึงกล้าแหกคอก สวนกระแสจนโด่งดังเป็นพลุแตก ได้ทั้งกล่องได้ทั้งเงิน ซึ่งคุณชาญชนะได้ตอบข้อสงสัยดังกล่าวว่า
“ผมว่าตอนนั้น ทั้งคนดูและผู้สร้างคงเริ่มเบื่อกับหนังวัยรุ่นที่มันใสเกินไป ซึ่งผมเชื่อว่าหนังแบบโลกทั้งใบฯ จะกลับมาอีกในไม่ช้า เพราะพอถึงช่วงหนึ่งที่หนังใสๆ จัดมามากๆ จะมีคนเริ่มรู้สึกว่า เราควรจะพาหนังประเภทนี้ไปอีกจุดหนึ่งที่คนดูยังไม่เคยเจอดีกว่า ซึ่งโลกทั้งใบฯ เป็นหนังที่ฉีกออกจากยุคนั้นไปเลย หน้าหนังอาจจะดูใสๆ แต่พอเข้าไปดูแล้วจะรู้เลยว่าไม่ใช่ บทมันมีความดราม่า ตัวละครมีชีวิตสัมผัสได้ เด็กยุคนั้นก็คงเหมือนคนสร้าง คือเจออะไรที่มันซ้ำๆ จนจับทางได้ พอมาเจออะไรที่แตกต่าง แล้วมันสะท้อนชีวิตวัยรุ่นแบบพวกเขาด้วย”
ในส่วนของการคัดเลือกนักแสดง คุณชาญชนะมีความเห็นว่าผู้กำกับสามารถคัดเลือกนักแสดงได้เหมาะสมกับ character ของตัวละคร ทำให้คนดูรู้สึกเชื่อและอินตามไปด้วย แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของนักแสดงนำหลายๆ คน
“หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ ของทั้งเต๋า นุ๊ก และโมทย์ พอหนังเรื่องนี้ดัง คนดูเลยติดภาพ character ในเรื่องไปด้วย อย่างเต๋า ก็จะเป็นแบดบอย เด็กวัยรุ่นมีปัญหาชีวิต เคร่งเครียด แบกโลกตลอดเวลา นุ๊กก็จะเป็นผู้หญิงใสๆ ส่วนโมทย์ก็จะเป็นวัยรุ่นง๊องแง๊ง เอาแต่ใจ”
นอกจากนี้ยังมีบทบาทของนักแสดงในเรื่องอีกคนที่โดดเด่นเข้าตาจนพี่ต้องอดไม่ได้ที่จะกล่าวถึง ซึ่งบุคคลนั้นก็คือ...
“ผมว่าเขาคัดเลือกนักแสดงดี โดยเฉพาะบท “โต” (เอ็ม-สุรศักดิ์ วงศ์ไทย) ที่เป็นผู้ร้าย ผมว่าเขาใช่เลยนะ”
คุณชาญชนะเห็นด้วยกับพี่ต้อง และกล่าวเสริมในประเด็นนี้เพิ่มเติมไว้อย่างน่าสนใจว่า
“บทพี่เอ็ม ผมว่าเป็นการ casting ที่น่าสนใจมาก เพราะพี่เอ็มเป็นดาราที่บุกเบิกหนังวัยรุ่นใสๆ ตอนฉลุยนี่ดังมาก เป็นไอคอนของวัยรุ่นยุคนั้นเลย ถ้าเปรียบกับยุคนี้ก็คงประมาณมาริโอ้ เมาเร่อ พอเอามาเล่นเป็นผู้ร้ายโรคจิต มันขัดกับภาพวัยรุ่นใสๆ ที่เขาเคยเล่นมาก่อนโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นการ casting ที่พลิก character เดิมของพี่เอ็มไปหมดเลย ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆ ว่า ยุคของหนังวัยรุ่นใสๆ มันจบไปแล้วนะ”
“ถ้าครบรอบ 20 ปี เอาหนังเรื่องนี้มา remake จะขายได้ไหม” คือคำถามทิ้งท้ายจากพี่ต้องก่อนจะสิ้นสุดกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งคุณชาญชนะได้ทิ้งคำตอบของคำถามสุดท้ายเอาไว้ว่า
“ก็น่าจะขายได้ ใช้ plot เดิม แต่อาจจะต้องเปลี่ยนบริบทให้เข้ากับปัจจุบัน แล้วยุคนี้วิธีการที่จะเอาหนังเข้าหาคนดูหรือชวนคนไปดูหนังแนวนี้อาจจะต้องใช้หน้าหนังหลอกเหมือน “รักแห่งสยาม” แต่ก็น่ากลัวว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง เพราะอย่างเรื่อง “รักจัดหนัก” ก็ใช้วิธีคล้ายๆ กัน แต่ผลตอบรับที่ออกมาก็ไม่ได้พิสูจน์ว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ก็กลางๆ ดังนั้นถ้าถามว่าเอามา remake ได้ไหม ผมว่าได้ แล้วอาจจะเอาดาราแม่เหล็กที่เป็นวัยรุ่นมาเล่น”
ในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ฉบับ remake หรือไม่ คงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของวงภาพยนตร์ไทยกันต่อไปแบบไม่กระพริบตา
rawee_one